เราทราบกันดีว่าเหตุการณ์ 911 ที่มีการถล่มตึก World Trade Twin Towers และTower 7 ในนิวยอร์กปี 2001 เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่สหรัฐฯ ก่อในตะวันออกกลาง โดยอ้างว่าเพื่อจัดการกับพวกก่อการร้ายอัลไคดา สงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป้าโจมตีอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย เลบานอน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน และอิหร่านยังคงดำเนินมาถึงทุกวันนี้ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการช่วงชิงเยรูซาเลมจากโลกมุสลิม
สถานการณ์รุนแรงขึ้นเมื่อพวกฮามาสโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7ตุลาคมปีที่ผ่านมา ทำให้อิสราเอลตอบโต้ด้วยการบอมบ์ฉนวนกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 27,000 คน โดยที่อิสราเอลถูกศาลคดีอาญาระหว่างประเทศตัดสินว่าอิสราเอลมีการะกระทำที่ถือว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นักรบเฮซบอลเลาะห์ที่เลบานอน และฮูตีจากเยเมนต่างเข้ามาผสมโรงสงครามเพื่อช่วยปาเลสไตน์ ในขณะที่อิสราเอลเพลี่ยงพล้ำไม่สามารถรับมือกับนักรบฮามาสได้ ทำให้อิสราเอลต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อการอยู่รอด ด้วยความพยายามที่จะดึงเอาสหรัฐฯ เข้ามาช่วยทำสงครามกับพวกฮามาส เฮซบอลเลาะห์ และฮูตี โดยมีการกล่าวหาว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังสงครามและความขัดแย้งทั้งหมด
แต่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธชีอะห์ของอิรักที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้โจมตี Tower 22 ซึ่งเป็นด่านหน้าของกองทัพสหรัฐฯ ในเมืองรุกบัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน การระเบิดส่งผลให้ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บอีก 47 คน
การโจมตี Tower 22 เป็นจุดพลิกผันที่ดูแล้วคล้ายกับการโจมตี World Trade Centre ในเหตุการณ์ 911 ที่ทำให้เกิดสงครามใหญ่ ตามมาในตะวันออกลาง เนื่องจากมันเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาทำสงครามกับอิหร่านอย่างเต็มตัว เพื่อปกป้องอิสราเอล หลังจากมีการวางแผนทำสงครามกับอิหร่านนี้มาเป็นเวลาร่วม 30 ปีเป็นอย่างน้อย
Tower 22 กลายเป็นข่าวที่ถูกกล่าวขานเหมือนกับตึก World Trade Towers ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความเข้มแข็ง ความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ และความลี้ลับ เพราะว่าในอดีตมีแต่กษัตริย์ หรือเจ้าผู้ครองนครเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในหอคอยเพื่อความปลอดภัยจากโจมตีของข้าศึก หรือผู้ที่หวังปองร้าย
ในหนังสือ Lord of the Rings : The Two Towers ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ มีการใช้สัญลักษณ์ของหอคอย เพื่อแสดงถึงอำนาจของความชั่วร้าย หอคอยแรกเป็นของโซรอน ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจมืด ที่มีความชั่วร้ายดั้งเดิม ส่วนหอคอยที่สองเป็นของซาลูมานที่ไม่มีความชั่วร้ายดั้งเดิม แต่ถูกดึงเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจมืดเพื่อตำแหน่ง เกียรติยศและทรัพย์สินศฤงคาร
แต่หอคอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับการกล่าวขานในพระคัมภีร์เก่าคือหอคอยบาเบล นิมร็อดที่ต้องท้าทายพระเจ้าได้สร้างหอคอยบาเบลให้สูงเทียมฟ้าเพื่อที่จะแสดงอำนาจเทียบเท่าพระเจ้า แต่หอคอยบาเบลพังทะลายลงมาในที่สุด ทำให้คนกระจัดกระจายไปทั่ว
ไม่มีอะไรที่น่ากลัว หรือสร้างแรงสะเทือนใจต่อจินตนาการและความรู้สึกของผู้คน อย่างรุนแรงได้มากกว่าการที่หอคอยที่แข็งแกร่งดุจภูผาถูกทำลาย ตึก Twin Towers ของนิวยอร์กที่ถูกระเบิด หอคอยของโซรอน และซารูมานใน Lord of the Rings : The Two Towers ที่ถูกทำลาย หอคอยบาเบลที่สูงเทียมฟ้าถล่มเปรียบเหมือนการสิ้นสุดของยุค
Tower 22 ซึ่งเป็นฐานทัพเล็กๆ ของสหรัฐฯ ในจอร์แดนที่ถูกโดรนถล่มกำลังถูกใช้เพื่อจุดกระแสของการสิ้นสุดของยุค แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่สงครามใหญ่กับอิหร่านในตะวันออกกลาง
นักการเมืองสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น สว. Lindsey Graham และ สว. John Cornyn ต่างออกมายุให้โจ ไบเดน บอมบ์อิหร่าน โดยไม่สนใจผลกระทบของมหาสงครามอาร์มาเกดดอนที่จะตามมา
สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเหมือนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอดีต เพราะว่าสหรัฐฯ มีความเข้มแข็งทางทหาร และมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุด จึงเลือกเป้าอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ลิเบียเพื่อโจมตีแต่ฝ่ายเดียว โดยฝ่ายตรงข้ามแทบไม่มีกำลังต่อต้าน ในตอนนั้นอิหร่าน รัสเซีย และ จีนยังอ่อนแอไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้สหรัฐฯ ลำพองใจ
ในเวลานี้ โลกได้เปลี่ยนไป ทั้งอิหร่าน รัสเซียและจีนมีความเข้มแข็งมากขึ้น และมีแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่ด้อยกว่า หรืออาจจะเหนือกว่าสหรัฐฯ ด้วยก็ได้ ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ เริ่มมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ มีหนี้ $35 ล้านล้านที่ไม่อาจจะชำระได้
พันโทดักลาส แมคเกรเกอร์ อดีตนายทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ อ้างคำพูดของแอนโทนี บลิงเคน รมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางมาถึงจุดที่อันตรายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
เขาเตือนว่าสหรัฐฯ กำลังถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามที่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีแรงกดดันทางการเมืองภายในสหรัฐฯ และการล็อบบี้ของอิสราเอลให้จัดการกับอิหร่านที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มฮามาส เฮซบอลเลาะห์ และฮูตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีฐานทัพ Tower 22 ของสหรัฐฯ ในจอร์แดน โดยนักรบซีอะห์ของอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางตกเป็นเป้าของการโจมตีแล้ว 160 ครั้ง เพราะว่ากลุ่มนักรบในภูมิภาคนี้มองว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังอิสราเอลในเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา นอกจากนี้ สหรัฐฯ กับอังกฤษยังปะทะกันกับกลุ่มฮูตีในทะเลแดง และมีการบอมบ์เยเมนเพื่อเป็นการตอบโต้
พันโทแมคเกรเกอร์ บอกว่า สงครามในกาซาต้องหยุด ไม่เช่นนั้นอิสราเอลอาจจะดำรงไม่ได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง สหรัฐฯ จะถูกกดดันให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามมากยิ่งขึ้น และอาจจะต้องรบกับอิหร่านเพื่อปกป้องอิสราเอล เนื่องจากอิหร่านเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอล
อิสราเอลมองว่าตราบเท่าที่ยังมีอิหร่านอยู่ การดำรงอยู่ของอิสราเอลจะไม่มีความมั่นคง อิสราเอลใช้สื่อและการล็อบบี้เพื่อสนับสนุนให้สหรัฐฯ ทำสงครามกับอิหร่าน ถ้าเกิดสงครามกับอิหร่านจริง รัสเซียจะพร้อมให้การช่วยเหลืออิหร่าน และจีนจะกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพราะว่าผลประโยชน์ของจีนในตะวันออกกลางมีมากขึ้นเรื่อยๆ
พันโทแมคเกรเกอร์กล่าวต่อไปว่า ภัยอันตรายของสงครามที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลางอาจจะย้อนกลับมากระทบสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเปิดพรมแดนที่ผ่านมาทำให้ผู้ลี้ภัยอพยพเข้าสหรัฐฯ จำนวนหลายล้านคน ในจำนวนนี้มีพวกเฮซบอลเลาะห์แอบแฝงเข้ามาไม่รู้มากแค่ไหนแล้ว และพวกนี้สามารถก่อวินาศกรรม หรือก่อการร้ายในบ้านสหรัฐฯ ได้
ที่สำคัญ พันโทแมคเกรเกอร์กล่าวว่า ไม่มีใครตั้งคำถามอย่างจริงๆ จังๆ ว่ากองทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางมีเอาไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร ผู้ก่อการร้าย ISIS ก็ไม่มีแล้ว หรือว่าอยู่เพื่อช่วยเตือนภัยให้อิสราเอลก็ไม่ใช่ เพราะว่าอิสราเอลมีระบบหน่วยข่าวกรองชั้นเลิศ เนื่องจากอิสราเอลมองอิหร่านเป็นศัตรู ทหารอเมริกันประจำการในฐานทัพในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะในจอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย โอมาน ยูเออี กาตาร์ บาห์เรน คูเวต มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอิสราเอลนั่นเอง
สหรัฐฯ มีแผนที่จะก่อสงครามกับอิหร่านมานานแล้ว ประมาณ 10 วัน หลังเหตุการณ์ 911 นายพลWesley Clark แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ เดินทางไปเพนตากอน และได้พบกับ รมว.กลาโหม Donald Rumsfeld กับ รองรัฐมนตรี Paul Wolfowiz หลังจากนั้นเขาลงไปชั้นล่างเพื่อพบกับลูกน้องที่เคยทำงานร่วมกัน 1 ในนายพลบอกกับผมว่า “ให้เข้าห้องไปคุยกันหน่อย”
นายพลคนนั้นบอกกับนายพลคลาร์กว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจจะก่อสงครามกับอิรัก เวลานั้น คือวันที่ 20 กันยายนปี 2001 นายพลคลาร์กถามกลับไปว่า เราไปทำสงครามกับอิรักทำไม เขาตอบว่า ผมไม่ทราบ ผมเดาว่าพวกเขาคงไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี นายพลคลาร์กถามต่อไปว่า พวกเขามีหลักฐานโยงซัดดัม ฮุนเซนกับพวกก่อการร้ายอัลไคดาหรือไม่ นายพลลูกน้องตอบว่า เปล่าไม่พบอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับพวกก่อการร้าย แต่เรามีทหารที่เข้มแข็ง และเราสามารถโค่นล้มรัฐบาลต่างๆ ได้ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
นายพลคลาร์กกลับไปพบลูกน้อง ตอนนั้นสหรัฐฯ ก่อสงครามในอัฟกานิสถานแล้ว นายพลคลาร์กถามว่า เรายังคงจะบอมบ์อิรักหรือเปล่า เขาตอบว่ามันเลวร้ายไปกว่านั้น พร้อมกับโชว์บันทึก ที่ระบุว่า “ภายใน 5 ปี เรามีแผนที่จะก่อสงครามใน 7 ประเทศ เริ่มต้นด้วยอิรัก ซีเรีย เลบานอน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ก่อนที่จะปิดเกมกับอิหร่าน”
นี่คือสิ่งที่นายพลคลาร์กนำออกมาเปิดเผยในเวลาต่อมา
หลังเหตุการณ์ Tower 22 สหรัฐฯ และอังกฤษชักธงรบ ด้วยการเปิดฉากโจมตียูเมนระลอกใหม่ พร้อมกับบอมบ์ซีเรีย และอิรัก แต่ยังสงวนท่าทีในการทำสงครามกับอิหร่าน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพนตากอน ระบุว่า ได้โจมตีใส่เป้าหมายที่เป็นคลังอาวุธ ระบบยิงขีปนาวุธ ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ เรดาร์และเฮลิคอปเตอร์ของกลุ่มฮูตี ส่วนกองทัพอังกฤษเปิดเผยว่า ได้โจมตีใส่สถานีควบคุมโดรนทางตะวันตกของกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มฮูตีใช้ในการส่งโดรนโจมตีในทะเลแดง
ทางกลุ่มฮูตีออกมาประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์ X เช่นกันว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการโจมตีของสหรัฐฯ และ “ปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลจะดำเนินต่อไปจนกว่าอาชญากรรมสังหารล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาจะยุติลง”
การโจมตีซีเรียและอิรักเกิดขึ้นในพื้นที่ 7 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมายในนั้นรวม 85 จุด รวมถึงฐานบัญชาการศูนย์ข่าวกรอง คลังแสงที่เก็บจรวด ขีปนาวุธ โดรน และกระสุนปืน ไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างที่กลุ่มทหารใช้ติดต่อกับกลุ่มกองกำลังคุดส์ (Qud’s force) ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านใช้สานสัมพันธ์และติดอาวุธให้กลุ่มกองกำลังต่างๆ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ไม่แสวงหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือที่อื่นใดในโลก แต่ขอให้ผู้ที่หวังจะทำอันตรายเรารู้ไว้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนอเมริกัน พวกเราก็จะตอบโต้”
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าเป้าหมายการโจมตีนั้นถูกเลือกสรรอย่างระมัดระวัง เพื่อเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน และมีหลักฐานชัดเจนที่ระบุว่า เป้าหมายเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการโจมตีกำลังพลสหรัฐฯ ในพื้นที่ แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า หลักฐานดังกล่าวคืออะไร
สื่อ Sputnik รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 รายในซีเรียและ 16 รายในอิรักในการโจมตีเมื่อวันเสาร์ โดยดามัสกัสและแบกแดดโจมตีวอชิงตันฐานละเมิดอธิปไตยของทั้งสองประเทศอย่างโจ่งแจ้ง กระทรวงการต่างประเทศของซีเรียกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจ” ที่เห็นกองกำลังอเมริกันโจมตีเป้าหมายทางตะวันออกของประเทศ “ซึ่งกองกำลังของเรากำลังต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย ISIS ที่หลงเหลืออยู่ ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังทำงานเพื่อฟื้นฟูกิจกรรมการก่อการร้ายของ ISIS”
กระทรวงวัฒนธรรมของซีเรียประณามการรุกรานของวอชิงตันว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮกอย่างโจ่งแจ้ง โดยระบุว่าการโจมตีของสหรัฐฯ รวมถึงการโจมตีที่ป้อมปราการอัล-เราะห์บา สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมโบราณในภูมิภาคซึ่งมีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 9
นอกเหนือจาก IRGC แล้ว การโจมตีเมื่อวันเสาร์ยังมุ่งเป้าไปที่ Popular Mobilization Forces ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่เข้าร่วมอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลอิรัก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะ ISIS ในการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างปี 2014 ถึง 2017
เอิร์ล รัสมุสเซน พันโทเอิร์ล รัสมุสเซน อดีตกองทัพสหรัฐฯ เกษียณอายุแล้ว บอกกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า การโจมตีของกองทัพสหรัฐฯ ถือเป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่า ปฏิบัติการของวอชิงตันในตะวันออกกลาง “ไม่ได้ต่อต้าน ISIS จริงๆ”
“พวกเขาบอกว่าเป็นการต่อต้านการก่อการร้าย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย หากคุณดูพวกเขา พวกเขาสนับสนุน ISIS ทางอ้อม พวกเขาปกป้องพวกเขา อัลกออิดะห์* ด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่สามารถบอกสาธารณชนชาวอเมริกันได้ในเรื่องนั้น แต่ลองดูอาวุธที่พวกเขาใช้ กลุ่มหัวรุนแรง ดูความขัดแย้งในซีเรียมาหลายปีแล้ว” เจ้าหน้าที่ทหารผ่านศึกกล่าว
“ดูพวกมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานด้วย” รัสมุสเซนเล่า โดยอ้างถึงกลุ่มทหารอาสาและผู้ก่อการร้ายที่ CIA ใช้เป็นผู้แทนต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1980
“เราเลี้ยงดูกลุ่มสุดโต่งมาหลายปีแล้ว และจริงๆ แล้ว คุณสามารถดูยูเครนตะวันตกได้ด้วยซ้ำ กลุ่มขวาจัดนีโอฟาสซิสต์ที่นั่น ซึ่งก็คือกลุ่ม Banderites นั่นเอง เราเลี้ยงดูพวกเขาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการลับๆ ของ CIA หลายโครงการช่วยในเรื่องนั้น ผมคิดว่าเราใช้ ISIS และอัลกออิดะห์เพื่อช่วยรักษาความไม่มั่นคงในภูมิภาคและอิทธิพลของเรา หรือเพื่อเป็นเหตุผลเพื่อคงฐานทัพทหารที่นั่นเพื่อ “สร้างเสถียรภาพ” แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้ให้ความมั่นคงเลย
ที่มาสำคัญของความไม่มั่นคงนั่นคือ การคงฐานทัพของสหรัฐฯ ฐานทัพที่ดำรงอยู่อย่างผิดกฎหมายในซีเรียและอิรัก และการที่อิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีประเทศใกล้เคียงบ่อยครั้ง และการปฏิบัติที่พวกเขาได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ตลอดหลายทศวรรษ” เขาเน้นย้ำ
สถานการณ์รุนแรงขึ้นเมื่อพวกฮามาสโจมตีอิสราเอลในวันที่ 7ตุลาคมปีที่ผ่านมา ทำให้อิสราเอลตอบโต้ด้วยการบอมบ์ฉนวนกาซา ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 27,000 คน โดยที่อิสราเอลถูกศาลคดีอาญาระหว่างประเทศตัดสินว่าอิสราเอลมีการะกระทำที่ถือว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นักรบเฮซบอลเลาะห์ที่เลบานอน และฮูตีจากเยเมนต่างเข้ามาผสมโรงสงครามเพื่อช่วยปาเลสไตน์ ในขณะที่อิสราเอลเพลี่ยงพล้ำไม่สามารถรับมือกับนักรบฮามาสได้ ทำให้อิสราเอลต้องดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อการอยู่รอด ด้วยความพยายามที่จะดึงเอาสหรัฐฯ เข้ามาช่วยทำสงครามกับพวกฮามาส เฮซบอลเลาะห์ และฮูตี โดยมีการกล่าวหาว่าอิหร่านอยู่เบื้องหลังสงครามและความขัดแย้งทั้งหมด
แต่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธชีอะห์ของอิรักที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน ได้โจมตี Tower 22 ซึ่งเป็นด่านหน้าของกองทัพสหรัฐฯ ในเมืองรุกบัน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจอร์แดน การระเบิดส่งผลให้ทหารสหรัฐฯ เสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บอีก 47 คน
การโจมตี Tower 22 เป็นจุดพลิกผันที่ดูแล้วคล้ายกับการโจมตี World Trade Centre ในเหตุการณ์ 911 ที่ทำให้เกิดสงครามใหญ่ ตามมาในตะวันออกลาง เนื่องจากมันเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการเข้ามาทำสงครามกับอิหร่านอย่างเต็มตัว เพื่อปกป้องอิสราเอล หลังจากมีการวางแผนทำสงครามกับอิหร่านนี้มาเป็นเวลาร่วม 30 ปีเป็นอย่างน้อย
Tower 22 กลายเป็นข่าวที่ถูกกล่าวขานเหมือนกับตึก World Trade Towers ที่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ ความเข้มแข็ง ความมั่นคง ความยิ่งใหญ่ และความลี้ลับ เพราะว่าในอดีตมีแต่กษัตริย์ หรือเจ้าผู้ครองนครเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในหอคอยเพื่อความปลอดภัยจากโจมตีของข้าศึก หรือผู้ที่หวังปองร้าย
ในหนังสือ Lord of the Rings : The Two Towers ที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ มีการใช้สัญลักษณ์ของหอคอย เพื่อแสดงถึงอำนาจของความชั่วร้าย หอคอยแรกเป็นของโซรอน ซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจมืด ที่มีความชั่วร้ายดั้งเดิม ส่วนหอคอยที่สองเป็นของซาลูมานที่ไม่มีความชั่วร้ายดั้งเดิม แต่ถูกดึงเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจมืดเพื่อตำแหน่ง เกียรติยศและทรัพย์สินศฤงคาร
แต่หอคอยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ได้รับการกล่าวขานในพระคัมภีร์เก่าคือหอคอยบาเบล นิมร็อดที่ต้องท้าทายพระเจ้าได้สร้างหอคอยบาเบลให้สูงเทียมฟ้าเพื่อที่จะแสดงอำนาจเทียบเท่าพระเจ้า แต่หอคอยบาเบลพังทะลายลงมาในที่สุด ทำให้คนกระจัดกระจายไปทั่ว
ไม่มีอะไรที่น่ากลัว หรือสร้างแรงสะเทือนใจต่อจินตนาการและความรู้สึกของผู้คน อย่างรุนแรงได้มากกว่าการที่หอคอยที่แข็งแกร่งดุจภูผาถูกทำลาย ตึก Twin Towers ของนิวยอร์กที่ถูกระเบิด หอคอยของโซรอน และซารูมานใน Lord of the Rings : The Two Towers ที่ถูกทำลาย หอคอยบาเบลที่สูงเทียมฟ้าถล่มเปรียบเหมือนการสิ้นสุดของยุค
Tower 22 ซึ่งเป็นฐานทัพเล็กๆ ของสหรัฐฯ ในจอร์แดนที่ถูกโดรนถล่มกำลังถูกใช้เพื่อจุดกระแสของการสิ้นสุดของยุค แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่สงครามใหญ่กับอิหร่านในตะวันออกกลาง
นักการเมืองสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น สว. Lindsey Graham และ สว. John Cornyn ต่างออกมายุให้โจ ไบเดน บอมบ์อิหร่าน โดยไม่สนใจผลกระทบของมหาสงครามอาร์มาเกดดอนที่จะตามมา
สงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเหมือนสงครามต่อต้านการก่อการร้ายในอดีต เพราะว่าสหรัฐฯ มีความเข้มแข็งทางทหาร และมีอำนาจทางเศรษฐกิจมากที่สุด จึงเลือกเป้าอัฟกานิสถาน อิรัก ซีเรีย ลิเบียเพื่อโจมตีแต่ฝ่ายเดียว โดยฝ่ายตรงข้ามแทบไม่มีกำลังต่อต้าน ในตอนนั้นอิหร่าน รัสเซีย และ จีนยังอ่อนแอไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลาง ทำให้สหรัฐฯ ลำพองใจ
ในเวลานี้ โลกได้เปลี่ยนไป ทั้งอิหร่าน รัสเซียและจีนมีความเข้มแข็งมากขึ้น และมีแสนยานุภาพทางทหารที่ไม่ด้อยกว่า หรืออาจจะเหนือกว่าสหรัฐฯ ด้วยก็ได้ ในขณะเดียวกันสหรัฐฯ เริ่มมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ มีหนี้ $35 ล้านล้านที่ไม่อาจจะชำระได้
พันโทดักลาส แมคเกรเกอร์ อดีตนายทหารของกองทัพบกสหรัฐฯ อ้างคำพูดของแอนโทนี บลิงเคน รมต.ต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สถานการณ์ในตะวันออกกลางมาถึงจุดที่อันตรายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
เขาเตือนว่าสหรัฐฯ กำลังถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามที่อาจจะเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีแรงกดดันทางการเมืองภายในสหรัฐฯ และการล็อบบี้ของอิสราเอลให้จัดการกับอิหร่านที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังกลุ่มฮามาส เฮซบอลเลาะห์ และฮูตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโจมตีฐานทัพ Tower 22 ของสหรัฐฯ ในจอร์แดน โดยนักรบซีอะห์ของอิรักที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน
ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางตกเป็นเป้าของการโจมตีแล้ว 160 ครั้ง เพราะว่ากลุ่มนักรบในภูมิภาคนี้มองว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังอิสราเอลในเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา นอกจากนี้ สหรัฐฯ กับอังกฤษยังปะทะกันกับกลุ่มฮูตีในทะเลแดง และมีการบอมบ์เยเมนเพื่อเป็นการตอบโต้
พันโทแมคเกรเกอร์ บอกว่า สงครามในกาซาต้องหยุด ไม่เช่นนั้นอิสราเอลอาจจะดำรงไม่ได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันเมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง สหรัฐฯ จะถูกกดดันให้ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามมากยิ่งขึ้น และอาจจะต้องรบกับอิหร่านเพื่อปกป้องอิสราเอล เนื่องจากอิหร่านเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสราเอล
อิสราเอลมองว่าตราบเท่าที่ยังมีอิหร่านอยู่ การดำรงอยู่ของอิสราเอลจะไม่มีความมั่นคง อิสราเอลใช้สื่อและการล็อบบี้เพื่อสนับสนุนให้สหรัฐฯ ทำสงครามกับอิหร่าน ถ้าเกิดสงครามกับอิหร่านจริง รัสเซียจะพร้อมให้การช่วยเหลืออิหร่าน และจีนจะกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เพราะว่าผลประโยชน์ของจีนในตะวันออกกลางมีมากขึ้นเรื่อยๆ
พันโทแมคเกรเกอร์กล่าวต่อไปว่า ภัยอันตรายของสงครามที่รุนแรงขึ้นในตะวันออกกลางอาจจะย้อนกลับมากระทบสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเปิดพรมแดนที่ผ่านมาทำให้ผู้ลี้ภัยอพยพเข้าสหรัฐฯ จำนวนหลายล้านคน ในจำนวนนี้มีพวกเฮซบอลเลาะห์แอบแฝงเข้ามาไม่รู้มากแค่ไหนแล้ว และพวกนี้สามารถก่อวินาศกรรม หรือก่อการร้ายในบ้านสหรัฐฯ ได้
ที่สำคัญ พันโทแมคเกรเกอร์กล่าวว่า ไม่มีใครตั้งคำถามอย่างจริงๆ จังๆ ว่ากองทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางมีเอาไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร ผู้ก่อการร้าย ISIS ก็ไม่มีแล้ว หรือว่าอยู่เพื่อช่วยเตือนภัยให้อิสราเอลก็ไม่ใช่ เพราะว่าอิสราเอลมีระบบหน่วยข่าวกรองชั้นเลิศ เนื่องจากอิสราเอลมองอิหร่านเป็นศัตรู ทหารอเมริกันประจำการในฐานทัพในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะในจอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย โอมาน ยูเออี กาตาร์ บาห์เรน คูเวต มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอิสราเอลนั่นเอง
สหรัฐฯ มีแผนที่จะก่อสงครามกับอิหร่านมานานแล้ว ประมาณ 10 วัน หลังเหตุการณ์ 911 นายพลWesley Clark แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ เดินทางไปเพนตากอน และได้พบกับ รมว.กลาโหม Donald Rumsfeld กับ รองรัฐมนตรี Paul Wolfowiz หลังจากนั้นเขาลงไปชั้นล่างเพื่อพบกับลูกน้องที่เคยทำงานร่วมกัน 1 ในนายพลบอกกับผมว่า “ให้เข้าห้องไปคุยกันหน่อย”
นายพลคนนั้นบอกกับนายพลคลาร์กว่า สหรัฐฯ ตัดสินใจจะก่อสงครามกับอิรัก เวลานั้น คือวันที่ 20 กันยายนปี 2001 นายพลคลาร์กถามกลับไปว่า เราไปทำสงครามกับอิรักทำไม เขาตอบว่า ผมไม่ทราบ ผมเดาว่าพวกเขาคงไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี นายพลคลาร์กถามต่อไปว่า พวกเขามีหลักฐานโยงซัดดัม ฮุนเซนกับพวกก่อการร้ายอัลไคดาหรือไม่ นายพลลูกน้องตอบว่า เปล่าไม่พบอะไร เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับพวกก่อการร้าย แต่เรามีทหารที่เข้มแข็ง และเราสามารถโค่นล้มรัฐบาลต่างๆ ได้ อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
นายพลคลาร์กกลับไปพบลูกน้อง ตอนนั้นสหรัฐฯ ก่อสงครามในอัฟกานิสถานแล้ว นายพลคลาร์กถามว่า เรายังคงจะบอมบ์อิรักหรือเปล่า เขาตอบว่ามันเลวร้ายไปกว่านั้น พร้อมกับโชว์บันทึก ที่ระบุว่า “ภายใน 5 ปี เรามีแผนที่จะก่อสงครามใน 7 ประเทศ เริ่มต้นด้วยอิรัก ซีเรีย เลบานอน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ก่อนที่จะปิดเกมกับอิหร่าน”
นี่คือสิ่งที่นายพลคลาร์กนำออกมาเปิดเผยในเวลาต่อมา
หลังเหตุการณ์ Tower 22 สหรัฐฯ และอังกฤษชักธงรบ ด้วยการเปิดฉากโจมตียูเมนระลอกใหม่ พร้อมกับบอมบ์ซีเรีย และอิรัก แต่ยังสงวนท่าทีในการทำสงครามกับอิหร่าน
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพนตากอน ระบุว่า ได้โจมตีใส่เป้าหมายที่เป็นคลังอาวุธ ระบบยิงขีปนาวุธ ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ เรดาร์และเฮลิคอปเตอร์ของกลุ่มฮูตี ส่วนกองทัพอังกฤษเปิดเผยว่า ได้โจมตีใส่สถานีควบคุมโดรนทางตะวันตกของกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มฮูตีใช้ในการส่งโดรนโจมตีในทะเลแดง
ทางกลุ่มฮูตีออกมาประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์ X เช่นกันว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการโจมตีของสหรัฐฯ และ “ปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลจะดำเนินต่อไปจนกว่าอาชญากรรมสังหารล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาจะยุติลง”
การโจมตีซีเรียและอิรักเกิดขึ้นในพื้นที่ 7 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมายในนั้นรวม 85 จุด รวมถึงฐานบัญชาการศูนย์ข่าวกรอง คลังแสงที่เก็บจรวด ขีปนาวุธ โดรน และกระสุนปืน ไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างที่กลุ่มทหารใช้ติดต่อกับกลุ่มกองกำลังคุดส์ (Qud’s force) ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านใช้สานสัมพันธ์และติดอาวุธให้กลุ่มกองกำลังต่างๆ
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ไม่แสวงหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือที่อื่นใดในโลก แต่ขอให้ผู้ที่หวังจะทำอันตรายเรารู้ไว้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนอเมริกัน พวกเราก็จะตอบโต้”
จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าเป้าหมายการโจมตีนั้นถูกเลือกสรรอย่างระมัดระวัง เพื่อเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน และมีหลักฐานชัดเจนที่ระบุว่า เป้าหมายเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการโจมตีกำลังพลสหรัฐฯ ในพื้นที่ แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า หลักฐานดังกล่าวคืออะไร
สื่อ Sputnik รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 รายในซีเรียและ 16 รายในอิรักในการโจมตีเมื่อวันเสาร์ โดยดามัสกัสและแบกแดดโจมตีวอชิงตันฐานละเมิดอธิปไตยของทั้งสองประเทศอย่างโจ่งแจ้ง กระทรวงการต่างประเทศของซีเรียกล่าวว่า “ไม่น่าแปลกใจ” ที่เห็นกองกำลังอเมริกันโจมตีเป้าหมายทางตะวันออกของประเทศ “ซึ่งกองกำลังของเรากำลังต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย ISIS ที่หลงเหลืออยู่ ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังทำงานเพื่อฟื้นฟูกิจกรรมการก่อการร้ายของ ISIS”
กระทรวงวัฒนธรรมของซีเรียประณามการรุกรานของวอชิงตันว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮกอย่างโจ่งแจ้ง โดยระบุว่าการโจมตีของสหรัฐฯ รวมถึงการโจมตีที่ป้อมปราการอัล-เราะห์บา สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมโบราณในภูมิภาคซึ่งมีประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 9
นอกเหนือจาก IRGC แล้ว การโจมตีเมื่อวันเสาร์ยังมุ่งเป้าไปที่ Popular Mobilization Forces ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่เข้าร่วมอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลอิรัก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะ ISIS ในการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างปี 2014 ถึง 2017
เอิร์ล รัสมุสเซน พันโทเอิร์ล รัสมุสเซน อดีตกองทัพสหรัฐฯ เกษียณอายุแล้ว บอกกับสำนักข่าวสปุตนิกว่า การโจมตีของกองทัพสหรัฐฯ ถือเป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่า ปฏิบัติการของวอชิงตันในตะวันออกกลาง “ไม่ได้ต่อต้าน ISIS จริงๆ”
“พวกเขาบอกว่าเป็นการต่อต้านการก่อการร้าย แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย หากคุณดูพวกเขา พวกเขาสนับสนุน ISIS ทางอ้อม พวกเขาปกป้องพวกเขา อัลกออิดะห์* ด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่สามารถบอกสาธารณชนชาวอเมริกันได้ในเรื่องนั้น แต่ลองดูอาวุธที่พวกเขาใช้ กลุ่มหัวรุนแรง ดูความขัดแย้งในซีเรียมาหลายปีแล้ว” เจ้าหน้าที่ทหารผ่านศึกกล่าว
“ดูพวกมูจาฮีดีนในอัฟกานิสถานด้วย” รัสมุสเซนเล่า โดยอ้างถึงกลุ่มทหารอาสาและผู้ก่อการร้ายที่ CIA ใช้เป็นผู้แทนต่อต้านโซเวียตในอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1980
“เราเลี้ยงดูกลุ่มสุดโต่งมาหลายปีแล้ว และจริงๆ แล้ว คุณสามารถดูยูเครนตะวันตกได้ด้วยซ้ำ กลุ่มขวาจัดนีโอฟาสซิสต์ที่นั่น ซึ่งก็คือกลุ่ม Banderites นั่นเอง เราเลี้ยงดูพวกเขาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โครงการลับๆ ของ CIA หลายโครงการช่วยในเรื่องนั้น ผมคิดว่าเราใช้ ISIS และอัลกออิดะห์เพื่อช่วยรักษาความไม่มั่นคงในภูมิภาคและอิทธิพลของเรา หรือเพื่อเป็นเหตุผลเพื่อคงฐานทัพทหารที่นั่นเพื่อ “สร้างเสถียรภาพ” แต่ในความเป็นจริง มันไม่ได้ให้ความมั่นคงเลย
ที่มาสำคัญของความไม่มั่นคงนั่นคือ การคงฐานทัพของสหรัฐฯ ฐานทัพที่ดำรงอยู่อย่างผิดกฎหมายในซีเรียและอิรัก และการที่อิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีประเทศใกล้เคียงบ่อยครั้ง และการปฏิบัติที่พวกเขาได้กระทำต่อชาวปาเลสไตน์ตลอดหลายทศวรรษ” เขาเน้นย้ำ