หลายคนอาจถกเถียงกันว่า การออกมติที่ปฏิบัติไม่ได้ จะยิ่งแย่กว่าการไม่สามารถออกมติได้เลย...หรือว่า การออกมติที่แทบปฏิบัติไม่ได้ ก็ยังดีกว่าไม่สามารถมีความเห็นร่วมจนเข็นมติออกมาได้
นั่นคือการลงมติในองค์กรสูงสุดของสหประชาชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้าวัน X’Mas Eve เพียง 24 ชั่วโมง ที่คณะมนตรีความมั่นคงสามารถลงมติผ่านข้อเสนอของ UAE ด้วยคะแนน 13 ต่อ 0 โดยไม่มีเสียงคัดค้านแม้เพียงเสียงเดียว โดยเฉพาะไม่มีเสียงวีโตจากสมาชิกถาวร ซึ่งได้ตั้งท่าจะไม่ยอมผ่านมาตั้งแต่ข้อมตินี้ได้นำเสนอมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม...และสมาชิกถาวรนำโดยสหรัฐฯ ได้ทำการแก้ถ้อยคำในข้อมติครั้งแล้วครั้งเล่า รวมเวลาที่แก้ไขถึง 5 วันเต็มๆ จนแทบสร้างความหมดหวังในเหล่าประเทศสมาชิกยูเอ็นว่า ข้อมตินี้ก็คงถูกสหรัฐฯ วีโต และทำให้ข้อมติต้องตกไปแบบที่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง ตั้งแต่รัสเซียเป็นประเทศแรกที่เสนอข้อมติเข้าคณะมนตรีความมั่นคง หลังจากกลุ่มติดอาวุธฮามาสได้ถล่มแบบจู่โจมต่ออิสราเอลเมื่อรุ่งสางของเช้าวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม...นั่นคือ 10 วันหลังอิสราเอลโดยคำสั่งนายกฯ เนทันยาฮู ซึ่งใน ครม.สงครามได้สั่งบุกยิงทำลายล้างฮามาส และทิ้งระเบิดถล่มกาซาทางตอนเหนือ
หลังสงครามผ่านไป 60 วัน กาซาทั้งตอนเหนือและตอนกลางถูกระเบิดถล่ม จนผู้คนล้มตายไปเกือบ 2 หมื่นคน และทั้งโรงเรียน อาคารที่อยู่อาศัย 2/3 ถูกทำลายหมดสิ้น, โบสถ์ วิหารของแทบทุกศาสนาถูกโจมตีด้วยระเบิดหรือขีปนาวุธ รวมทั้งโรงพยาบาลก็ปราศจากอาหาร, น้ำ, ยา และไฟฟ้า จนทางยูเอ็นโดย WHO ออกมาประกาศว่า โรงพยาบาลถูกระเบิดทำลายจนไม่สามารถให้การรักษาผู้บาดเจ็บอีกต่อไป รวมทั้งรถพยาบาลก็ถูกระเบิดด้วย
เลขาธิการยูเอ็น (อดีตนายกฯ โปรตุเกส) ได้ใช้สิทธิและอำนาจตามมาตรา 99 ของข้อบังคับยูเอ็น เพื่อนำเรื่องเข้าพิจารณาในคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อพิจารณาญัตติหยุดยิงทันทีเพื่อมนุษยธรรม เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม แต่ก็ถูกสหรัฐฯ วีโตอยู่เสียงเดียว โดยมี 13 เสียงใน 15 เสียงได้ยกมือสนับสนุนข้อมตินี้ และมีอังกฤษงดออกเสียง
การลงคะแนนในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม ปรากฏว่า อังกฤษได้เปลี่ยนจากการงดออกเสียงในวันที่ 9 ธันวาคม มาเป็นยกมือสนับสนุนข้อมติ (ในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม)
สำหรับฝรั่งเศส ได้ยกมือสนับสนุนการหยุดยิงทันทีตั้งแต่ 9 ธันวาคม และยังได้ยกมือสนับสนุนข้อญัตติในสมัชชาใหญ่ให้หยุดยิงในการลงคะแนนในอาทิตย์ถัดมา...แม้ว่าฝรั่งเศสจะมีผู้นับถือศาสนายิวสูงมากถึง 5 แสนคน และปธน.มาครงต้องให้น้ำหนักต่อฐานเสียงยิว รวมทั้งปธน.เคยเป็นเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคาร Rothschild ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นธนาคารระดับเจ้าพ่อทางการเงินของยุโรปทีเดียว…แต่การยิงถล่มชาวปาเลสไตน์ที่ฉนวนกาซาชนิดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็ทำให้มาครงต้องตัดสินใจสนับสนุนการหยุดยิงทันทีในขณะนี้...ซึ่งตรงข้ามกับสหรัฐฯ ที่ปธน.ไบเดนต้องตีสองหน้าคือ ออกมาแถลงในที่สาธารณะว่า สนับสนุนและยืนเคียงข้างอิสราเอลในการทำสงครามล้มล้างนักรบฮามาส โดยยังไม่สนับสนุนให้มีการหยุดยิง...แต่ในที่ไม่มีไมโครโฟน หรือไม่ใช่ที่สาธารณะ เขาจะพูดว่าไม่เห็นด้วยกับการยิงไม่เลือกหน้า จนทำให้ชาวปาเลสไตน์ผู้บริสุทธิ์ตายกันเกลื่อนกลาด โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก
เช่นเดียวกับอังกฤษ ที่เปลี่ยนจากงดออกเสียงมาเป็นสนับสนุนมติ เพราะภาพตายเกลื่อนที่กาซากำลังส่งผลต่อประชามติชาวอังกฤษที่เริ่มลดการสนับสนุนวิธีการของเนทันยาฮูที่ยังไม่ยอมหยุดยิง
ที่ว่าเป็นมติอัปยศก็เพราะมตินี้ไม่มีคำว่า “หยุดยิง” ทันที เพื่อรักษาชีวิตผู้บริสุทธิ์ แต่ไปเน้นเรื่องการจัดหาความช่วยเหลือด้านอาหารและน้ำดื่มให้แก่ชาวกาซาที่กำลังถูกผู้นำเหยี่ยวของอิสราเอลใช้อาหารและน้ำดื่มเป็นอาวุธที่จะทำให้ชาวกาซาอดตายนั่นเอง ซึ่งมตินี้เปลี่ยนจุดเน้นแทนการหยุดยิง...กลับไปเน้นว่า จะต้องยอมให้อาหารและน้ำดื่ม (และยา) เข้ามาในกาซา แต่...จะต้องอยู่ภายในการควบคุมตรวจสอบของทางการอิสราเอล (อิสราเอลกลัวมีการสอดไส้นำอาวุธไปให้ฮามาส)
ทั้งนี้ ถ้าไม่มีการหยุดยิง รถบรรทุกอาหารและน้ำดื่มที่จะเข้าทางด้านราฟาห์ก็จะเสี่ยงถูกระเบิดที่ทางอิสราเอลยิงวันละอย่างน้อย 300 ลูก จะเป็นอันตรายต่อรถบรรทุกสิ่งของช่วยชีวิตเหล่านี้ และทำให้รถโกดังบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์ไม่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในกาซา...จากด่านราฟาห์
นั่นหมายถึงในทางปฏิบัติ รถบรรทุกสรรพสิ่งบรรเทาทุกข์ จะมีข้อจำกัดมากในการเดินทางขึ้นเหนือ เพื่อไปแจกจ่ายอาหารให้แก่ชาวกาซาที่ยังอยู่ทางตอนกลางหรือตอนเหนือ ที่ไม่มีอาหารและน้ำเหลืออยู่เลยในการดำรงชีวิต...แม้แต่ที่บริเวณด่านราฟาห์เองก็เถอะ ก็ยังถูกยิงถล่มตลอดเวลา โดยอ้างเหตุผลว่า กำลังติดตามไล่ล่านักรบฮามาส
ทั้งๆ ที่มีการเปิดเผยจากสื่อตะวันตกว่ากว่า 50% ของทั้งจรวด และระเบิดที่อิสราเอลยิงถล่มใส่กาซานั้น ไม่มีการติดตั้งระบบนำวิถี (missile guided) นั่นคือ การยิงแต่ละครั้ง จะไม่มีความแม่นยำ (หรือ Precision) และทำให้วิเคราะห์ได้ว่า ผู้นำอิสราเอลจงใจยิงเพื่อฆ่าชาวปาเลสไตน์มากกว่าไล่ล่านักรบฮามาส
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของยูเอ็นที่ถูกระเบิดหรืออาวุธถล่มใส่ (หรือถูก Sniper จงใจเล็งปลิดชีพ เพื่อหยุดการที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็นจะช่วยเหลือชาวกาซา) เสียชีวิตไปครบ 100 คนแล้วอย่างน่าตกใจ (ภายใน 70 วัน) และถ้ารวมเจ้าหน้าที่ขององค์การสงเคราะห์เพื่อมนุษยธรรมอื่นๆ ปรากฏจำนวนเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต้องเสียชีวิตลงถึงเกือบ 200 ชีวิต
รวมทั้งนักข่าวก็ตายไปเกือบ 100 คน (ตั้งแต่การสู้รบ 7 ตุลาคม) ในนั้นมีนักข่าวของรอยเตอร์ด้วย ซึ่งบางคนถูก Sniper ของกองทัพอิสราเอลจงใจยิงให้ตาย แม้มีเครื่องหมาย “Press (สื่อ)” กำกับอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางการอิสราเอลไม่ต้องการให้มีการรายงานข้อเท็จจริงถึงความโหดเหี้ยมผิดกฎหมายสงครามของฝ่ายกองทัพอิสราเอลไปสู่สายตาของชาวโลกนั่นเอง
หลังมติคณะมนตรีความมั่นคงออกมา แบบไม่มีเขี้ยวเล็บ (เหมือนคนฟันหลอ) และปฏิบัติไม่ได้ รวมทั้งไม่มีการหยุดยิง...ปรากฏว่าองค์การเอ็นจีโอ ไม่ว่าจะเป็น Human Rights Watch, Amnesty International, Oxfam, Save the Children ได้ออกมาถล่มมติอัปยศครั้งนี้โดยทั่วหน้ากัน
ชาวปาเลสไตน์ยังถูกฆ่าตายวันละประมาณ 200 คนต่อไป