เป็นการรวมตัวกันอย่างแข็งขันของ รมต.ต่างประเทศรัฐอิสลาม ทั้งในตะวันออกกลาง และที่อยู่นอกตะวันออกกลาง เพื่อผลักดันเอาร่างข้อมติที่เลขาธิการสหประชาชาติ (อดีตนายกฯ โปรตุเกส) ที่ถูกตีตกในคณะมนตรีความมั่นคง นำเข้าพิจารณาในสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ
ก่อนนำเข้าเสนอในสมัชชาใหญ่ (UNGA) ได้มีการซาวเสียงประเทศสมาชิกต่างๆ ใน 193 ประเทศอย่างเร่งด่วน ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง และข้อเสนอร่างมติครั้งนี้ มีสั้นๆ เพื่อการตัดสินลงคะแนนจะได้ทำได้รวดเร็ว เพราะสถานการณ์ในกาซากำลังประสบกับสภาพที่มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ต่อไป จากการขาดอาหารอย่างรุนแรง, ขาดน้ำจนขาดใจตาย (เรื่องอาบน้ำไม่ต้องพูดถึง) ขาดยารักษาโรคจนต้องตายลงที่รพ.อย่างน่าอนาถ ไม่มีห้องส้วมเลย จนกำลังเกิดโรคระบาดที่จะลุกลามล้มตายกันครั้งใหญ่ และยังคงถูกถล่มทุกอณูของพื้นที่กาซาจากระเบิดและขีปนาวุธที่อิสราเอลระดมยิงอย่างยิบตาถึงวันละ 500-600 จุด จนปริมาณลูกระเบิดที่ใช้ฆ่ามนุษย์พลเรือนทั้งเด็กและผู้หญิงครั้งนี้ มีขนาดใหญ่กว่าที่ใช้ตลอด 20 ปีของสงครามเวียดนาม และมากกว่าที่ใช้ในยูเครนเป็นหลายสิบเท่าทีเดียว
ยอดคนปาเลสไตน์ที่กาซาที่ถูกถล่มด้วยขีปนาวุธและระเบิดจนตึกอาคารที่อยู่อาศัยพังพินาศลงมาทับคนตายจำนวนกำลังเข้าใกล้ 2 หมื่นราย ไม่นับที่ร่างถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังอีกเป็นหมื่นคน และยังมีผู้บาดเจ็บเสียแขน, ขา, ตาบอดถูกสะเก็ดระเบิดจำนวนเป็น 3 หมื่นราย และยังไม่นับรวมที่ตายเกือบ 300 คนที่โดนถูกยิงทิ้งที่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำจอร์แดน ที่เป็นบริเวณปกครองโดย PA (Palestinian Authority) ซึ่งเป็นคนละเขตกับกาซา (กาซาอยู่ภายใต้การบริหารโดยฮามาส) โดยทหารอิสราเอลเข้าบุกค้นตามศูนย์ผู้อพยพเพื่อจับตายผู้อาจมีส่วนเห็นใจกับกลุ่มจีฮัด (ที่เป็นแนวร่วมของฮามาส) เกิน 300 คนที่ถูกจับตายหรือถูกจับกุม โดยไม่มีการสอบสวนได้หายสาบสูญไป ในจำนวนนี้มีเด็กอายุแค่ 10 ขวบที่บังเอิญได้เป็นประจักษ์พยานการอุ้มฆ่าของทหารอิสราเอล ก็เลยถูกอุ้มไปอยู่ในคุกด้วย!
เหตุการณ์บ้าคลั่งของรัฐบาลเนทันยาฮูกำลังขยายวง จากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา (ด้วยวิธีโหดเหี้ยมไม่ต่างกับที่ฮิตเลอร์ได้เคยทำกับชาวยิวในเยอรมนีและอีกหลายประเทศในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ไปยังเขตรอมัลลอฮ์ (Ramallah) ฝั่งตะวันตกแม่น้ำจอร์แดน และที่เขตเยรูซาเลมตะวันออก จะไม่ต่างกับที่ฮิตเลอร์ใช้แก๊สร่วมฆ่าชาวยิว (ใน Gas Chamber) โดยขณะนี้ ใน 2 หมื่นคนที่เป็นยอดคนตายฝั่งกาซาเป็นเด็กๆ ถึง 70% เพื่อเป็นการล้างคนรุ่นใหม่ของปาเลสไตน์ไม่ให้มีโอกาสเติบโตต่อไป
ในเมื่อท่านเลขาฯ ยูเอ็น กูเตอร์เรส ทนไม่ไหวต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกาซาอย่างเมามันของกองทัพอิสราเอล จึงไปงัดเอามาตรา 99 ของกฎบัตรสหประชาชาติออกมาใช้ เพื่อตนเองสามารถนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคง ด้วยร่างข้อมติของตนเองได้ แต่ปรากฏว่า ข้อเสนอของท่านเลขาฯ เพื่อขอให้หยุดยิงทันที ถูกต้านจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเพียงเสียงเดียวจาก 15 ประเทศในคณะมนตรีความมั่นคง โดยตัวแทนของสหรัฐฯ ยกมือคัดค้าน ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีการประณามการกระทำก่อการร้ายของฝ่ายฮามาส ขณะที่ฝ่ายอังกฤษก็ได้งดออกเสียง แทนที่จะยกมือคัดค้านตามสหรัฐฯ; ส่วนฝรั่งเศสหันมาสนับสนุนข้อมติคือ ยืนคนละฝั่งกับสหรัฐฯ
ปรากฏว่า การนำเรื่องเข้าสมัชชาใหญ่ครั้งนี้ ได้รับเสียงสนับสนุนถึง 153 เสียงจากสมาชิกยูเอ็น 193 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 80% ทีเดียว ซึ่งเป็นคะแนนเรียกร้องให้หยุดยิงสูงกว่าครั้งที่แล้วถึงเกือบ 20%
ครั้งแรกที่ผ่านสมัชชาใหญ่ มีเสียงเรียกร้องให้หยุดยิงเพื่อนำความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปแจกจ่ายให้ทั่วถึง ครั้งนั้นมีเสียงสนับสนุน 121 ประเทศใน 193 คิดเป็นร้อยละ 63% (ไทยก็อยู่ใน 121 ประเทศด้วย-สาธุ!!)
ข้อเรียกร้องให้หยุดยิงครั้งนี้ใช้คำต่างกับครั้งที่แล้วคือ ครั้งนี้ใช้คำว่า “Demand” คือ เรียกร้องแกมบังคับ...ขณะที่ครั้งที่แล้วใช้คำว่า “Call For” หรือ “ขอให้” (โดยไทยก็อยู่ใน 153 ประเทศด้วย)
มี 10 ประเทศนำโดยสหรัฐฯ และอิสราเอลที่ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับข้อมตินี้ ส่วนใหญ่เป็นประเทศเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาการช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐฯ
ทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น เตรียมการมาแบบตลกคาเฟ่คือ ทำป้ายยักษ์ชูขึ้นในช่วงลงคะแนน ป้ายเขียนว่า “การหยุดยิงเกิดขึ้นได้ง่ายมาก แค่โทร.ไปที่หมายเลขโทรศัพท์.....ของหัวหน้าฮามาสที่สำนักงานกาตาร์ ขอพูดกับนายยายาห์ ซินวาร์ นั่นแหละ เขาเป็นคนเดียวที่จะหยุดยิงได้!!!”
แม้ข้อมติที่ผ่านด้วยคะแนนสูงถึง 80% แต่เป็น non-binding คือ ไม่มีผลด้านบังคับใช้ เพียงแต่สะท้อนว่า 80% ของประเทศสมาชิกยูเอ็นจากทั้งโลกเห็นด้วยว่าต้องหยุดยิงทันที เหมือนเป็นมติของชาวโลก เป็นการหยุดยิงทางมนุษยธรรมนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ปธน.ไบเดนยังออกมาพูด (นอกไมค์) เหมือนกับว่า ประชามติโลกกำลังอยู่ตรงข้ามกับผู้นำอิสราเอล และเขาแนะนำให้เนทันยาฮูปรับ ครม.เพื่อสกัด รมต.ที่มีแนวคิดขวาตกขอบและไม่ยอมรับ “2 รัฐ” ให้เกิดมีขึ้น...ซึ่งเนทันยาฮูต้องพึ่งเสียงของพรรคขวาสุดโต่งนี้จนไม่กล้าสลัดออกจาก ครม.นั่นเอง
รมต.ปีกขวาสุดโต่งนี้ เคยเสนอให้ใช้ระเบิดปรมาณูถล่มกาซาให้พินาศไปหลัง 7 ตุลาคม จนเนทันยาฮูให้หยุดพักงาน (เพราะเท่ากับเอาความลับของอิสราเอลมาเปิดเผยต่อโลก ว่าอิสราเอลมีระเบิดปรมาณู!!)
มติประชาคมโลกครั้งนี้ สะท้อนว่าชาวโลกถึง 80% ไม่เห็นด้วยกับความไร้มนุษยธรรมของรัฐบาลอิสราเอล ที่กระทำกับชาวกาซาประหนึ่งชาวกาซาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น Human Animal คือเป็นสัตว์นั่นเอง