สหรัฐฯเมื่อวันจันทร์(18ธ.ค.) ประกาศกร้าวว่าจะเดินหน้าป้อนอาวุธแก่อิสราเอล สำหรับนำไปใช้ทำสงครามกับพวกฮามาส แม้อีกด้านหนึ่งวอชิงตันส่งเสียงเรียกร้องมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมแก่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ดินแดนที่ถูกอิสราเอลโจมตีทำลายล้าง
การสู้รบครั้งนองเลือดที่สุดเท่าที่เคยมีมาของสงครามกาซา ลากยาวเข้าสู่เดือนที่ 3 แล้ว ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขที่บริหารงานโดยฮามาส รายงานว่ามีผู้เสียชีวิตอีก 110 รายในเหตุโจมตีถล่มค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ใกล้กับกาซา ซิตี
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในนิวยอร์ก เตรียมจัดประชุมลงมติกันอีกรอบ ในเสียงเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในดินแดนที่ถูกปิดล้อมแห่งนี้ หลังจากความพยายามที่ผ่านๆมา ถูกวีโต้โดยสหรัฐฯ พันธมิตรสำคัญของอิสราเอล
อย่างไรก็ตามการโหวตถูกเลื่อนออกไปจนถึงวันอังคาร(19ธ.ค..) ท่ามกลางการเจรจาเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างมติดังกล่าว แหล่งข่าวนักการทูต ณ สหประชาชาติ เปิดเผยกับเอเอฟพี
ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางเยือนอิสราเอล ระบุว่า "เราต้องป้อนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพิ่มเติมในกาซา ซึ่งมีประชาชนผู้ไร้ถิ่นฐานเกือบ 2 ล้านคน และเราต้องแจกจ่ายความช่วยเหลือดังกล่าวให้ดีกว่าเดิม"
อย่างไรก็ตาม ออสติน ยืนยันว่าวอชิงตัน "เป็นมิตรที่ยอดเยี่ยมของอิสราเอล" และจะเดินหน้ามอบกระสุน ยานยนต์ทางยุทธวิธีและระบบป้องกันภัยทางอากาศ" ที่มีความสำคัญยิ่ง แก่อิสราเอลต่อไป พร้อมบอกด้วยว่าการเดินทางเยือนอิสราเอลในครั้งนี้ของเขา ไม่ได้มีเป้าหมายกำหนดกรอบเวลาหรือเงื่อนไขสำหรับสงคราม
การเดินทางเยือนตะวันออกกลางของออสติน มีขึ้นท่ามกลางความกังวลเพิ่มมากขึ้นต่อสงครามที่ลุกลามบานปลายไปทั่วภูมิภาค ด้วยกบฏฮูตีในเยเมน ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน โจมตีเรือขนส่งสินค้านานาชาติในทะเลแดงไปแล้วหลายลำ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกฮามาส
การโจมตีก่อความวุ่นวายแก่การค้าโลก ผลักราคาน้ำมันพุ่งทะยาน และบีพี ยักษ์ใหญ่ทางพลังงาน กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ล่าสุดที่ประกาศหยุดใช้เส้นทางเดินเรืออันสำคัญนี้ ที่นำไปสู่ช่องแคบสุเอซ
"ในทะเลแดง เรากำลังเป็นแกนนำกองกำลังเฉพาะกิจทางทะเลนานาชาติ สำหรับส่งเสริมหลักการข้อเท็จจริงของเสรีภาพในการเดินเรือ" ออสตินกล่าว พร้อมเตือนอิหร่านให้หยุดสนับสนุนการโจมตีของกบฏฮูตี
สงครามในกาซาเริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกนักรบฮามาส เปิดฉากจู่โจมเล่นงานอิสราเอลอย่างไม่คาดคิด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไปราวๆ 1,140 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนและลักพาตัวไปอีกประมาณ 250 คน
จากนั้นอิสราเอลเปิดปฏิบัติการโจมตีแก้แค้นถล่มกาซา ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขของกาซา ระบุว่าได้สังหารผู้คนไปแล้วมากกว่า 19,400 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และทำพื้นที่อันกว้างขวางของฉนวนแห่งนี้เหลือแต่เศษซากอิฐและปูน
นานาชาติส่งเสียงแสดงความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับชะตากรรมของพลเมืองกาซา 2.4 ล้านคน ที่ต้องเผชิญกับการทิ้งระเบิดรายวัน รวมถึงปัญหาขาดแคลนน้ำมันและอาหาร และการไร้ถิ่นฐานของผู้คนจำนวนมาก
กลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอตช์ กล่าวหาอิสราเอล กำลังใช้ความอดอยากของพลเรือน เป็นยุทธวิธีในการทำสงคราม "กองกำลังอิสราเอลจงใจขัดขวางการส่งมอบน้ำ อาหารและเชื้อเพลิง ขณะเดียวกันก็จงใจเตะถ่วงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และทำลายล้างพื้นที่เกษตรกรรม"
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ตอบโต้กลับว่าคำพูดของฮิวแมนไรท์วอตช์ เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกาซา ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม โดยกล่าวหาองค์กรสิทธิมนุษยชนกลุ่มนี้ว่าเพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานและสิทธิมนุษยชนของชาวอิสราเอล
ฟิลิปเป ลาซซารินี ข้าหลวงใหญ่สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ บอกก่อนหน้านี้ว่า "จะไม่ประหลาดใจเลย หากว่ามีผู้คนเริ่มเสียชีวิตจากความหิวโหย หรือจากทั้งความหิวโหย โรคร้ายและภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน"
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายหนึ่ง รายงานว่าอิสราเอลอนุมัติให้ส่งมอบความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา ผ่านด่านชายแดนคาเรม ชาลอม เพิ่มเติม นอกเหนือจากจุดผ่านแดนราฟาห์ที่ติดกับอียิปต์ และพบเห็นรถบรรทุกสิ่งของบรรเทาทุกข์หลายสิบคัน แล่นเข้าไปยังกาซา ผ่านด่านคาเรม ชาลอม ในวันจันทร์(18ธ.ค.)
(ที่มา:เอเอฟพี)