ช่วงระหว่างนี้...สำหรับบ้านเราก็น่าจะเข้าสู่ช่วง “พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว...ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ” โดยจะต่อท้ายเพื่อเพิ่มความโมแลงติก (โรแมนติก) ด้วยการพึมๆ พัมๆ คำว่า “หึ่มฮึมม์ม์ม์-ฮึ๊มหึ่มม์ม์ม์” ตามแบบฉบับลีลาบรมครูผู้ประพันธ์เพลงอย่างคุณครู “ล้วน ควันธรรม” ก็ไม่น่าจะขัดกับบรรยากาศแต่อย่างใด แต่สำหรับพวกฝรั่งมังค่าอย่างบรรดาชาวยุโรปทั้งหลายนี่สิ!!! อาจต้องพึมๆ พัมๆ ต้องหันไปครางง์ง์ง์ว่า “อิ๋งง์ง์ง์ๆ” หรือ “ฮืออ์อ์อ์ๆ” น่าจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ เนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนพลังงานที่ออกจะหนักหนาสาหัสมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลัง “สงครามยูเครน-รัสเซีย” อันส่งผลให้บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย หันไปรวมหัวปฏิเสธ ต่อต้าน คัดค้าน หรือ “แซงชั่นรัสเซีย” อย่างเป็นระบบและกิจการ...
ถึงขั้นรายงานสุดของ “Oilprice report” ที่หน่วยงาน “S&P Global” เขานำมาอ้างอิงไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถึงกับระบุไว้เลยว่า “EU กำลังเสี่ยงต่อวิกฤตพลังงานในหน้าหนาวคราวนี้” เพราะไม่ว่าจะวิ่งหาน้ำมัน หาแก๊ส จนตีนขวิดตลอดช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งในแอฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกา ฯลฯ ไปจนต้องแอบซื้อ ลักลอบซื้อพลังงานรัสเซีย ผ่าน “นายหน้า” อย่างอินตะระเดียที่ฟัน “ค่าหัวคิว” แบบเต็มๆ เนื้อๆ แต่ก็หลุดรอดหน้าหนาวคราวที่แล้วมาได้แบบยากเย็นแสนเข็ญเต็มที อีกทั้งระดับราคาพลังงานที่นับวันจะทะลุเพดาน ทะลุหลังคา แม้ไม่ถึงขั้นที่หัวหน้าคณะเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกอย่าง “นายAyhan Kose” ออกมาคาดการณ์ไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่าอาจทะลุไปถึงระดับ 140-157 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย หรือแม้ว่าช่วงวัน-สองวันนี้ราคาจะลดลงอยู่ที่ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลก็เถอะ แต่โอกาสที่จะหาน้ำมัน หาแก๊ส มาช่วยคลายหนาวให้บรรดาปวงชนชาวยุโรปทั้งหลาย ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อตัวเองดันไปปฏิเสธ ต่อต้าน “พลังงานราคาถูก” จากรัสเซีย ทั้งที่เคย “พึ่งพา” มาโดยตลอด...
ความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย อันเนื่องมาจากระดับการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นๆ ของบรรดาประเทศตะวันออกหรือประเทศโลกใต้ทั้งหลาย รวมทั้ง “ความไม่แน่นอน” ของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ที่เริ่มเกิดการ “ยึดเรือ” โดยพวก “กบฏฮูตี” ในทะเลแดงกันมั่งแล้ว ไปจนถึงความอดรน-ทนไม่ไหวของพวกเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน หรือแม้แต่อิหร่านก็ตาม ที่ไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไป ถ้าหากปฏิบัติการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ของกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา ยังคง “เหี้ยม...ม์ม์ม์” ในระดับ “ม.ม้า” วิ่งไล่ไม่ทันเช่นเดิม อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ปัญหาพลังงานกลายเป็นตัวเพิ่ม “ความเสี่ยง” ให้กับบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ที่ต่างก็กำลัง “กรอบเป็นข้าวเกรียบ” หรือ “เศรษฐกิจ EU กำลังจมปลักอยู่ในหล่มโคลน” อย่างที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ “Hamburg Commercial Bank” “นายCyrus de la Rubia” สรุปเอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...
อีกทั้งบรรดาแก๊ส LNG ที่เคยหาซื้อจากอเมริกา แม้จะได้มาจากกรรมวิธี “Fracking” อันเป็นสิ่งที่ชาติยุโรปเคยต่อต้านและปฏิเสธในฐานะเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาด้วยเหตุเพราะการเร่งผลิต เร่งส่งออกหรือไม่?อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้ การขยายกำลังผลิตจาก 2 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการในสหรัฐฯ ขึ้นไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์เพื่อส่งออกไปยังยุโรปกว่า 10 ประเทศ หรือ 44 เปอร์เซ็นต์ของการผลิต ส่งผลให้เกิดการระเบิดจนหลุมขุดเจาะถึง 4,500 หลุมต้องหยุดชะงัก โอกาสที่จะซ่อมแซม บำรุง ให้กลับมาส่งออกได้เหมือนเดิมยังไม่รู้ว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์สักเมื่อไหร่ และนั่นก็ยิ่งเท่ากับทำให้ “ความเสี่ยง” ในอันที่จะเกิด “วิกฤตพลังงาน” ในยุโรปยิ่งสูงขึ้นไปเท่านั้น...
ดังนั้น...บรรดาประเทศต่างๆ ในยุโรปที่เป็นลูกค้าแก๊สรายสำคัญของอเมริกา ไม่ว่าฝรั่งเศส อิตาลี สเปน กรีซ โครเอเชีย โปแลนด์ อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ฯลฯ ต่างก็มีสิทธิ์เจอกับ “วิกฤต” ดังกล่าวไปด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะเสาหลัก EU อย่างไส้กรอกเยอรมัน ที่แม้ท่อส่งแก๊ส “Nord Stream” ที่นักธุรกิจเยอรมนีร่วมทุนกับรัสเซียส่งแก๊สราคาถูกให้ถึงหัวกระไดบ้าน ถูกระเบิดต่อหน้า-ต่อตาแต่รัฐบาลกลับหันไป “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) ไปซะนี่!!! แนวโน้มที่จะต้องคราง “อิ๋งๆ” หรือ “ฮือๆ” ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที เพราะด้วยเหตุจากปัญหาพลังงาน หรือการขาดแคลนพลังงานนี่เอง ที่ทำให้ประเทศที่เคยโดดเด่นด้านอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีทุกวันนี้ ต้องตกอยู่ในสภาพดังที่ถูกระบุไว้ในผลสำรวจของหน่วยงาน “US-Base News website” ว่ากำลังเจอกับภาวะ “Deindustrialization” หรือการสูญเสียบทบาท การหมดสภาพความเป็นประเทศอุตสาหกรรมอีกต่อไป...
ความหนักหนา-สาหัสจากปัญหาเงินเฟ้อ วิกฤตพลังงาน ไปจนภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ฯลฯ ของประเทศเสาหลัก EU อย่างเยอรมนี เลยถึงกับทำให้ประธานรัฐสภาฮังการี อย่าง “นายLaszlo Kover” อดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความคิด-ความเห็น ไว้ ณ เวที “A sovereignty-promotion Forum” ที่เมือง Jaszapati เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (23 พ.ย.) ถึงขั้นว่า...ประเทศเยอรมนีทุกวันนี้ ได้ทำลายตัวเองรวดเร็วยิ่งกว่ายุคที่อยู่ภายใต้การปกครองของฮิตเลอร์ซะอีก!!! หรือ “ขณะที่ฮิตเลอร์ใช้เวลาถึง 12 ปีในการทำลายเยอรมนี แต่รัฐบาลเยอรมนีทุกวันนี้ไม่ต้องการเวลาถึงขั้นนั้น ในการทำให้เยอรมนีล้มคว่ำคะมำหงายในทุกๆ ด้านไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือสังคม” เพราะด้วยการ “แซงชั่นรัสเซีย” หรือการดำรงตนเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับคุณพ่ออเมริกานั่นเอง ที่ทำให้ประธานสภาฮังการีเห็นว่า...“EU ทุกวันนี้เล่นบทเดียวกับโซเวียตยุคที่มีประเทศยุโรปตะวันออกเป็นบริวาร (Warsaw Pact) ดังนั้น...ฮังการีจึงต้องสู้กับพวก Eurobureaucracy โดยไม่ได้คิดจะสู้กับความเป็นสหภาพยุโรปแต่อย่างใด...”
นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ก็ลองไปชั่งน้ำหนักเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ “อัตราเสี่ยง” ของประเทศเสาหลัก EU อย่างเยอรมนี ต่อวิกฤตพลังงานที่กำลังจะมาถึงในช่วงหน้าหนาวคราวนี้ ดูจะเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ยิ่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนี “นายChristian Lindner” ได้ออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 พ.ย.) ว่าจะไม่ขยายการอุดหนุนราคาแก๊สไปจนช่วงเดือนมีนาคมปีหน้าดังที่เคยวางแผนไว้ก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วโดยจะหยุดการอุดหนุนตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค.ปีนี้เป็นต้นไป อันนี้...ก็ยิ่งทำให้บรรดาชาวไส้กรอกทั้งหลาย ยิ่งต้องแบกภาระค่าแก๊ส ค่าพลังงาน ชนิดอกแอ่น หลังแอ่นไปตามๆ กัน โอกาสที่จะล้มคว่ำคะมำหงายในทุกๆ ด้านไม่ว่าเศรษฐกิจหรือสังคม ยิ่งมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
ด้วยความปั่นป่วน รวนเร ของประเทศยุโรปทั้งหลาย ชนิดไม่ว่าเสาหลักอย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส ต่างก็ออกอาการโยกๆ เยกๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น เลยทำให้สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เขาอดไม่ได้ที่ต้องออกมาชี้แนะ ชี้นำ ไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่อง “Europe needs a revolution of spirit instead of embracing conservatism” หรือบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย กำลังต้องการการปฏิวัติในระดับจิตวิญญาณ แทนที่จะสวมกอดอยู่กับแนวคิดอนุรักษ์นิยมแบบเดิมๆ อะไรประมาณนั้น หรือคงต้องลดๆ ความอหังการ มะมังการ ในความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของโลกตะวันตก หรือของความเป็นจ้าวอาณานิคมเมื่อครั้งอดีต อันเคยครอบงำ ครอบครอง โลกทั้งโลกมานานนับศตวรรษๆ ไม่เช่นนั้น...ความสงสัย ความหวาดระแวงแคลงใจ แบบที่เรียกๆ กันว่า “Euroscepticism” ต่อความเป็นสหภาพยุโรป ที่นับวันจะแสดงให้เห็นจากการผงาดขึ้นมามีบทบาท อำนาจ ของบรรดาพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ในการเลือกตั้งของประเทศยุโรปในแต่ละครั้ง แต่ละครา อาจทำให้บรรดาพวกนักการเมืองประเภท “Eurobureaucracy” ทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องหันไป “นิมนต์พระ” ให้เดินนำหน้า สวดกุสลาธัมมา-อกุสลาธัมมา ก่อนวานใครต่อใครให้แบกตัวเองขึ้นไปบนเมรุ เพื่อกระทำการ “ฌาปนกิจศพ” จนเหลืออยู่เพียงแค่เถ้าถ่าน แค่กองกระดูก เอาไว้ “ลอยอังคาร” ไปตามเวร ตามกรรม นั่นแล...