เป็นคำประกาศกร้าวของนายกฯ เนทันยาฮูแห่งประเทศอิสราเอล ผ่านหน้าจอทีวีในเวลาไพรม์ไทม์ของวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาฯ จากเมืองเทลอาวีฟ เพื่อปลุกเร้าประชาชนชาวอิสราเอลและชาวยิวทั่วโลก โดยเฉพาะเหล่าทหารหาญชายหญิงของอิสราเอล (รวมทั้งชายชาวยิวห้าวหาญจำนวนหนึ่งจากหลายประเทศที่ได้ประกาศจะขอไปสมัครเป็นทหารอิสราเอล เพื่อไปเข่นฆ่าศัตรูชาวฮามาสให้ตายหมดสิ้นชาติ)
นี่เป็นการประกาศครั้งที่ 2 ว่าเป็นสงครามกับฮามาส... ครั้งแรกประกาศทันทีหลังการบุกอย่างสายฟ้าแลบ (ที่อิสราเอลตั้งตัวไม่ทัน หรือล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในงานข่าวกรอง) ในรุ่งสางของวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ที่กองกำลังนักรบฮามาสบุกทั้งจากทางบกและอากาศ โจมตีด้วยขีปนาวุธและเครื่องร่อนบรรจุระเบิดเพลิง และขบวนนักรบขี่มอเตอร์ไซค์ทะลุทะลวงฝ่ากำแพงของอิสราเอลเข้าไปยังมหกรรมการแสดงดนตรี (แบบ Woodstock) หลังเทศกาลทางศาสนายิว, และบุกจับชาวบ้านในคิบบุตซ์ชายขอบบริเวณฉนวนกาซา เพื่อไปเป็นตัวประกันถึง 200 กว่าคน
ในการประกาศ (ครั้งแรก) สงครามกับฮามาส ในสายของวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม ทันทีหลังการจู่โจมบุกของฮามาส เขาได้ยกเอาเหตุการณ์ 9-1-1 ที่กลุ่มอัลกออิดะห์โจมตีตึกแฝดที่อาคารเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเกาะแมนฮัตตันของมหานครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 11 เดือน 9 ปี 2001; เพื่อให้ชาวโลก (โดยเฉพาะคนอเมริกัน) ได้มีอารมณ์ร่วมต่อความตกใจสุดขีดในการถูกโจมตีครั้งนั้น ซึ่งคนแทบทั้งโลกได้ประณามว่า ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายที่สุดสยอง
ทั้งบทบรรณาธิการสื่อในอิสราเอล รวมทั้งนักวิเคราะห์ผ่านสื่อยักษ์ของสหรัฐฯ เช่น CNN หรือ BBC ยังได้พยายามยกเอาเหตุการณ์โจมตีฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่ Pearl Harbor ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่สหรัฐฯ ไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมนำมาเปรียบเทียบว่า การโจมตีของฮามาสในวันที่ 7 ตุลาคม ทำให้อิสราเอลไม่เพียงเสียชีวิตผู้คนไปถึง 1,400 คน; เสียตัวประกันไปอีกเป็นจำนวนร้อย; แต่ยังเสียหน้าที่ถูกเหยียบจมูก ทั้งๆ ที่อิสราเอลมีกองทัพที่เกรียงไกร, มีอาวุธเป็นเทคโนโลยีทันสมัยที่สุด และมี Iron Dome ที่มีประสิทธิภาพสูง (ขนาดยูเครนยังอยากจะได้ใจจะขาดก็ยังไม่มีเลย)
นายเนทันยาฮูได้ยกเหตุการณ์ถูกโจมตีครั้งนี้จากฮามาส ว่าเหมือนกับ Holocaust ซึ่งชาวยิวถูกจับไปเข่นฆ่าถึง 6 ล้านคนในค่ายกักกันของฮิตเลอร์ นับเป็นคำที่ทิ่มแทงความรู้สึกของชาวอิสราเอลส่วนใหญ่ เพื่อให้ลุกขึ้นมาร่วมปราบฮามาส โดยมองว่า ฮามาสได้บุกเข้ามาฆ่าชาวอิสราเอลอย่างเลือดเย็น แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็ถูกกราดยิง...
นายเนทันยาฮูประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม ว่า กองทัพอิสราเอลจะบุกไปยึดกาซา และทำลายล้างฮามาสให้สิ้นซาก โดยใช้คำว่า Complete Siege
ขณะที่เรียกระดมทหารกองหนุนทันที 3 แสน 6 หมื่นคน (ทั้งชายและหญิง) และประกาศจะบุกเข้ายึดครองกาซาทั้งหมดทันที
ก่อนบุกใหญ่ทางภาคพื้นดินจะเกิดขึ้น ได้จัดตั้ง War Cabinet (ฉวยโอกาสเพื่อรวบรวมฝ่ายค้าน ซึ่งเคยอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลนายเนทันยาฮู และสู้กันมากับการประท้วงบนท้องถนนนานถึง 9 เดือนเต็ม ตั้งแต่มกราคม 2023-ต้นปีนี้...เพื่อให้ฝ่ายค้านต้องมาเป็นลูกมือของนายเนทันยาฮู เพื่อสู้กับฮามาสครั้งนี้ก่อน...ไว้คิดบัญชีหลังสงครามปราบฮามาสจบลง) และยิงขีปนาวุธและปืนใหญ่ถล่มกาซา ฆ่าปปช.ชาวปาเลสไตน์ตายไปเกือบ 1 หมื่นคนแล้ว (เกือบ 4 พันคนเป็นเด็กปาเลสไตน์ที่เสียชีวิต)
จนเกิดปฏิกิริยาของชาวโลกตีกลับ...ตามเมืองใหญ่ๆ มีการเดินขบวนประณามอิสราเอลถึงการเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์หลังวันที่ 7 ตุลาคม ชนิดจะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) นับเป็นอาชญากรรมทางสงคราม (War Crime) เพราะในการทำสงครามก็มีกฎ (ผ่านทางสนธิสัญญาเจนีวา และกฎของสหประชาชาติ คือ Rule of War หรือ Law of War)
แม้แต่ปธน.ไบเดนที่ออกมายืนเคียงข้างอิสราเอลให้ปราบฮามาสให้สิ้นซาก ก็ยังออกมาเตือนเนทันยาฮูไม่ให้ฆ่าเด็กและผู้หญิงที่เป็นพลเรือน รวมทั้งการระเบิดโรงพยาบาล, โรงเรียน, โบสถ์ (ของชาวคริสต์) และผู้สื่อข่าว (ตายไปเกือบ 30 คนแล้ว) และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของยูเอ็น, ของสภากาชาดสากล, ของสภาเสี้ยววงเดือนแดงองค์กรช่วยเหลืออีกมากมาย ที่ตายไปเกิน 20 คนแล้ว รวมทั้งกฎของสงครามที่ห้ามตัดน้ำ ตัดไฟ สำหรับพลเรือน (เขาไม่ใช่ทหาร)
จากมติสมัชชาใหญ่ยูเอ็นที่เสนอโดยจอร์แดน และประเทศอาหรับ 22 ประเทศให้หยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม ที่ผ่านเมื่อวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม (หลัง 3 ญัตติหยุดยิงที่เสนอในคณะมนตรีความมั่นคงถูกวีโตทั้งหมด) ปรากฏว่า นายกฯ เนทันยาฮูไม่ยอมหยุดยิง
แต่กลับไปประดิษฐ์ถ้อยคำ เพื่อยั่วยุปลุกระดมความรู้สึกเกลียดชังชาวปาเลสไตน์ จนออกมาแถลงล่าสุดว่า นักรบอิสราเอลจะต้องบุกเข้าไปกาซา... “เราต้องฆ่าพวกมัน พวกป่าเถื่อน, พวกปิศาจ เพราะถ้าไม่ฆ่าพวกมัน-เราก็จะถูกฆ่า”
นายเนทันยาฮูปลุกระดมต่อไปว่า ชาวอิสราเอลจะหยุดยิงไม่ได้ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้นักรบฮามาสได้ฟื้นตัวปรับกำลังพล และยังโต้กลับว่า ดูสหรัฐฯ ซิ หลังเหตุการณ์ญี่ปุ่นถล่ม Pearl Harbor และหลัง 9-1-1 ทำไมอเมริกายังบุกโจมตีเพื่อกวาดล้างศัตรูที่มาถล่มสหรัฐฯ ทำไมไม่หยุดยิงล่ะ?
คนที่เคลิ้มไปกับนายเนทันยาฮูคงจะมีจำนวนมาก แต่อย่าลืมว่า ทั้งสองเหตุการณ์ (Pearl Harbor และ 9-1-1) ไม่มีการจับตัวประกันไปเลย ครั้งนี้ตัวประกันมีถึง 200 กว่าคน และคลิปล่าสุดตัวประกันหญิงอิสราเอล 3 คนที่ฮามาสส่งมาเผยแพร่ ปรากฏมีการแสดงความไม่พอใจจากหญิงตัวประกัน ถึงกับสาปแช่งประณามเนทันยาฮูว่า การสั่งบุกใหญ่เข้ายึดกาซา เป็นการไม่ไยดีกับชีวิตตัวประกันและชีวิตชาวกาซาที่กำลังตายเกลื่อน
เนทันยาฮูสั่งห้ามเผยแพร่คลิปนี้ และอธิบายว่า ตัวประกันหญิงทั้ง 3 ถูกบีบบังคับให้ทำตามสคริปต์ของฮามาส
แต่ถ้าดูการประท้วงต่อต้านเนทันยาฮูตลอด 9 เดือนเต็มที่ผ่านมา มีปชช.จากทุกสาขาอาชีพ (รวมทั้งทหารเกณฑ์ใหม่และทหารประจำการจำนวนมากได้เข้าร่วมประท้วงทั่วประเทศ และอาจเป็นคำตอบว่า ทำไมหน่วยงานข่าวกรองของทหารอิสราเอลจึงไม่ได้ส่งสัญญาณเตือนนายเนทันยาฮูเรื่องการบุกของฮามาส)
นี่เป็นที่มาว่านายเนทันยาฮูได้ประดิษฐ์ถ้อยคำปลุกเร้า สร้างความฮึกเหิมและความชอบธรรมที่จะต้องฆ่าชาวปาเลสไตน์ให้หมดสิ้น ทั้งที่กาซาและที่ฝั่งตะวันตกแม่น้ำจอร์แดน เพื่อให้หายแค้นด้วยการยกเอาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ครั้งนี้ว่า “นี่เป็นสงครามเพื่อเอกราชครั้งที่สองของชาวยิว” คือไปเทียบกับสงครามครั้งแรกเมื่อปี 1948 ที่ยิวได้รับข้อมติของยูเอ็นให้มาครอบครองบางส่วนของดินแดนปาเลสไตน์ และได้เกิดการปะทะกับกองทัพของอาหรับที่ออกมาปกป้องดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งครั้งนั้นรัฐใหม่อิสราเอลได้รับการช่วยเหลือทั้งอาวุธ, การเงิน, กองทหารจากอังกฤษ (และพันธมิตร) จนสามารถชนะสงคราม 1948 และได้ขับไล่รื้อถอนบ้านเรือนของครอบครัวชาวปาเลสไตน์ให้ต้องถูกบังคับให้เดินเท้าออกไปถึง 7 แสนคน ต้องไปอยู่ในบางส่วนของอียิปต์, จอร์แดน, ซีเรีย และเลบานอน (เป็นค่ายผู้อพยพที่ยังดำรงอยู่มาตลอด 76 ปีที่ผ่านมา)
เหตุการณ์ระทมทุกข์ถูกเข่นฆ่าไล่ที่ของชาวปาเลสไตน์ในปี 1948 นั้น ชาวอาหรับเขาเรียกว่า Nakba ซึ่งครั้งนี้น่าจะเป็น Nakba ที่ 2 มากกว่าของชาวปาเลสไตน์
ไม่ใช่สงครามเพื่อเอกราชครั้งที่สองของชาวยิว