ความเป็นไปของโลก ณ ช่วงระหว่างนี้...จะถือเป็น “ยุคใหม่” หลังจาก “ยุคสงครามเย็น” ได้สิ้นสุด ยุติลงไปแล้ว หรือถือเป็น “สงครามเย็นยุคใหม่”ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่อย่างที่ว่าๆ ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั่นแหละว่า ในทัศนะ มุมมอง ของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ “นายAntony Blinken”ที่ไปพูดไว้ที่มหาวิทยาลัย “Johns Hopkins”เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านระบุไว้ชัดเจนว่าสิ่งที่ถือเป็น “กุญแจสำคัญ”ของการเอาแพ้-เอาชนะกันในฉากสถานการณ์เช่นนี้ ก็คือการแสวงหา “พันธมิตร”ของแต่ละฝ่ายนั่นแหละว่า ใคร? จะได้รับการยอมรับ ได้รับความร่วมมือ-ร่วมไม้มาก-น้อยไปกว่ากัน ระหว่างโลกตะวันตกที่คุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำ กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย...
ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้คงต้องลองไปสำรวจตรวจสอบ ว่าแนวโน้มความเป็นไปของโลกนับจากนี้ ใครจะอู้ฟู่ อูมฟูม ใครจะ “โฮม อโลน”ต้องปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้างอยู่ตามลำพัง โดยแม้ว่าช่วงสัปดาห์นี้...คุณพ่ออเมริกาท่านจะเชื้อชวนเชิญชวนให้ 5 ประเทศเอเชียกลาง ที่เคยเหนียวแน่น หนึบหนับ อยู่กับจีนกับรัสเซีย เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดถึงหัวกระไดบ้าน หรือแสดงออกถึงท่าทีที่อยากจะหาพวก หามิตร อย่างกระตือรือร้นเป็นอันมาก แต่บรรดาข่าวคราวต่างๆ ที่ประเดประดังเข้ามาสู่บรรดาเครือข่ายพันธมิตรของอเมริกา ดูๆ มันชักจะหนักไปทาง “เละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก”ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าวคราวการตีกัน กัดกัน ของพันธมิตรระดับ “พรมเช็ดเท้า”อย่างแคนาดา กับคุณปู่อินตะระเดียที่ถือเป็นพันธมิตรรายสำคัญเอามากๆ ในย่านเอเชีย โดยเฉพาะต่อการเอาไว้ “ถ่วงจีน” ชนิดถึงขั้นต้องเปลี่ยนคำเรียกอภิมหายุทธศาสตร์ “เอเชีย-แปซิฟิก”มาเป็น “อินโด-แปซิฟิก”เอาเลยถึงขั้นนั้น ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มก้อนพันธมิตร 4 ฝ่ายที่เรียกกันว่า “QUAD”อันประกอบไปด้วยสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย สามารถโยงใยไปถึงพันธมิตรแห่งความมั่นคงไตรภาคี อย่าง “AUKUS”หรือสหรัฐฯ อังกฤษ ออสเตรเลีย ที่พร้อมจะรับมือกับจีนในด้าน “นิวเคลียร์” ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง...
แต่ก็ด้วยเหตุเพราะผู้นำชาวซิกข์ อย่าง “นายHardeep Singh Nijjar”ที่อพยพหลบลี้ไปอยู่ที่แคนาดา ถูกใครก็ไม่รู้??? ยิงตายที่แคนาดาช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้ผู้นำแคนาดาหันมากล่าวหาอินตะระเดียว่าพัวพันกับการลอบสังหารคราวนี้จนถึงขั้นต้องขับเจ้าหน้าที่ทูตอินเดีย ที่ดูแลด้านงานข่าวกรองออกจากประเทศตัวเอง แถมยังเอาข้อกล่าวหาดังกล่าวไปโพนทะนาภายในกลุ่มพันธมิตร “Five Eyes”อันประกอบไปด้วยอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ทั้งๆ ที่อินเดียออกมาปฏิเสธ และถือเป็นข้อกล่าวหาที่ “เหลวไหล”แถมมี “แรงจูงใจ”อันเนื่องมาจากบรรดาชาวซิกข์ในแคนาดาที่อยู่ถึง 7-8 แสนคน หรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของชาวแคนาดา ถือเป็นฐานคะแนนเสียงสำคัญของนักการเมืองอย่างผู้นำประเทศ ทั้งสองฝ่ายเลยหันมากัดกัน ตีกัน จนเละเป็นขี้-เละเป็นโจ๊ก ถึงขั้นต้องขับทูตแต่ละฝ่ายออกจากประเทศ โดยที่คุณพ่ออเมริกาได้แต่ “อมเชาวริน”(สากกะเบือ) ไม่อาจชี้ผิด ชี้ถูก หรือไม่สามารถเป็นตัวกลางในการประสานความขัดแย้งดังกล่าวได้เลยแม้แต่น้อย...
ยิ่งไปกว่านั้น...ยังต้องเจอกับการไล่ด่า ไล่ถีบระหว่างบรรดาพันธมิตรในยุโรป ในกรณีการส่งออกธัญพืช น้ำมันเมล็ดพืชของยูเครน ที่ต้องผ่านด่าน ผ่านแดน ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง แต่ด้วยเหตุเพราะบรรดาประเทศเหล่านั้น อย่างเช่น โปแลนด์ ฮังการี สโลวาเกีย โรมาเนีย จำต้องหาทางปกป้องราคาพืชผลเกษตรกรของตัวเอง การสั่งห้ามไม่ให้ผลผลิตของยูเครนเข้ามาสู่ประเทศ จึงก่อให้เกิดการ “ฉุนขาด”ของ “ตัวตลก-ตัวแทน”อย่างประธานาธิบดี “Volodimir Zelensky”ชนิดถึงกับหยิบไปด่าในเวทีสหประชาชาติโน่นเลย เล่นเอาผู้นำโปแลนด์ อย่างประธานาธิบดี “Andrzej Duda”ที่เคยเพียรพยายามส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งอาวุธ ให้กับยูเครนไว้สู้กับรัสเซียมาโดยตลอด อด “ฉุนเต่า” ขึ้นมาไม่ได้ ถึงกับต้องเปรียบเทียบ เปรียบเปรย อุปมา-อุปไมย ว่าผู้นำยูเครนออกอาการไม่ต่างอะไรไปจากคนกำลังจมน้ำ อันเป็น “อันตราย” เอามากๆเพราะสามารถฉุดกระชากลากถูให้ผู้ที่พยายามช่วยเหลือ ต้องจมตามลงไปด้วย โดยไม่ว่ามุมจบเรื่องราวดังกล่าวจะเป็นเช่นไร? แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...โปแลนด์ได้ตัดสินใจประกาศระงับการส่งอาวุธไปให้ยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
นี่…“กุญแจสำคัญ” ของท่านรัฐมนตรี “Antony Blinken” เลยชักจะกลายเป็น “กุญแจขึ้นสนิม” เอาดื้อๆ!!! และที่หนักไปกว่านั้น ก็คือบรรดาพันธมิตรประเภท “พรมเช็ดเท้า” ในแต่ละราย ยิ่งนานวัน...ยิ่ง “กรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร” หนักเข้าไปทุกที ไม่ว่าพันธมิตรระดับเคียงบ่า-เคียงไหล่ ยิ่งกว่าพรมเช็ดเท้า หรือระดับ“สุนัขพูเดิลอังกฤษ” เห็นข่าวแวบๆ ว่าองค์กร “OECD” (Organization for Economic Cooperation and Development) เพิ่งออกมาป่าวประกาศเมื่อวันอังคารที่แล้ว (19 ก.ย.) นี่เอง ว่าเป็นประเทศที่เจอกับภาวะเงินเฟ้อ หนักหนาสาหัสที่สุดในยุโรป คือประมาณ 7.2 เปอร์เซ็นต์ในตลอดทั้งปี ส่งผลให้อัตราเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ น่าจะเหลือแค่ 0.3 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างมาก ส่วนปีหน้าที่กะจะโตให้ได้ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เอาไป-เอามาแล้ว “OECD” ประมาณการเอาไว้แค่ 0.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกินไปกว่านั้น...
กระทั่งพันธมิตรที่เคยถือเป็น “เสาหลักของยุโรป” อย่างคุณพี่ไส้กรอกเยอรมัน ขนาด “CEO Deutsche Bank” ที่เป็นชาวเยอรมันแท้ๆ อย่าง “นายChristian Sewing” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมายอมรับว่า แม้เยอรมนียังไม่ถึงกับเป็น “คนป่วยแห่งยุโรป” ตามที่นิตยสาร “The Economist” เรียกขาน แต่ก็...ใกล้แล้ว!!! หรือถ้าหากรัฐบาลยังไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไขใดๆ โอกาสที่จะ “ติดเตียง” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกหล่นไปถึง -0.3 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แถมสิ่งที่อาจพอช่วยพยุงให้เศรษฐกิจเกิดการลืมตา อ้าปาก ขึ้นมาได้มั่ง นั่นคือการแสวงหาแหล่ง “พลังงานราคาถูก” แต่ด้วยเหตุเพราะการวางระเบิดท่อส่งแก๊ส “Nord Stream” ที่ถูกเปรียบเทียบว่าแทบไม่ต่างอะไรไปจากการก่อวินาศกรรมตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ของอเมริกา หรือกรณี 9/11 เอาเลยถึงขั้นนั้น ก็คือตัวฉุดกระชากให้เศรษฐกิจเยอรมนีตลอดไปจนทั่วทั้งยุโรป ต้องล้มคว่ำ คะมำหงาย ไปอีกตราบนานเท่านาน...
ต่างไปจากมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย ที่ช่วงระหว่างนี้ ต้องเรียกว่า...ออกจะคึกคัก โครมครามอย่างเป็นพิเศษ เฉพาะแค่สีสันบรรยากาศแห่งการจัดงาน “The Belt and Road Forum for International Cooperation” ครั้งที่ 3 ในเมืองจีน ช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึง ถ้าว่ากันตามคำแถลงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน บรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลกถึง 110 ประเทศ ต่างกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วม อันเนื่องมาจาก “อภิมหาโครงการ” ดังกล่าวได้เกี่ยวพัน โยงใย ไปถึงบรรดาประชากรไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของโลก ด้วยเงินลงทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ สามารถยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คนไม่น้อยกว่า 40 ล้านคน ให้พ้นไปจากเส้นมาตรฐานความยากจน ชนิดทิ้งขาดโครงการของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” อย่างโครงการ “Build Back Better Initiative” ที่พยายามประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาแข่งขัน อย่างไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง...
เช่นเดียวกับคุณน้ารัสเซียช่วงนี้...ที่ไม่เพียงแต่หัวกระไดบ้านไม่แห้ง บรรดาผู้นำชาติแอฟริกายกขโยงไปร่วมประชุมความร่วมมือในด้านต่างๆ โดยไม่คิดจะสนใจต่อเสียงคัดค้าน การแซงชั่นรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย ชนิดที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergei Lavrov” ถึงกับกล้าพูดด้วยความมั่นอก-มั่นใจว่า ประชากรโลก 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่คิดจะปฏิเสธรัสเซียแม้ว่ายังต้องสู้รบกับ “ตัวตลก-ตัวแทน” ของตะวันตกอย่างยูเครนไปอีกนานเพียงใด แต่ล่าสุด...การได้ปูพรมแดงต้อนรับการเดินทางมาเยือนของผู้นำเกาหลีเหนือ “Kim Jong-Un” โดยจะพูดคุยกันถึงเรื่องอาวุธ-ยุทโธปกรณ์หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่เฉพาะแค่รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย “พลเอกSergei Shoigu” เดินทางไปเยือนอิหร่าน พร้อมทั้งออกมาป่าวประกาศว่าสัมพันธภาพระหว่างรัสเซีย-อิหร่าน ประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าส่งเครื่องบินโดรนไปให้รัสเซียมาตั้งแต่แรก ได้ยกระดับไปสู่ขั้นตอนใหม่ๆ ชนิดที่ใกล้ถึงระดับ “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัด” อย่างรัสเซียกับจีน หรือไม่? เพียงใด? คงต้องคอยจับตากันดูอีกที แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...หลังการเดินทางไปเยือนรัสเซียของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “ปูติน” ก็ได้ตอบรับคำเชิญของจีน พร้อมเดินทางมาร่วมงาน “BRI” ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้...
สรุปง่ายๆ ว่า...โดยสีสันบรรยากาศ โดยแนวโน้มความเป็นไปของโลกยุคใหม่ หรือ “สงครามเย็นยุคใหม่” ก็แล้วแต่จะเรียกขณะที่ความคึกคัก โครมคราม อู้ฟู่ อูมฟูม ได้ปรากฏให้เห็นในบรรดาพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” ทั้งหลาย แต่สำหรับพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือโลกตะวันตกที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำ กลับส่งสัญญาณ หรือเริ่มส่อให้เห็นถึงลักษณะอาการอย่างที่นักวิเคราะห์การเมืองชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายJackson Hinker” ได้สรุปเอาไว้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ-ง่ายๆ แต่ชัดเจนและตรงไป-ตรงมาเป็นอย่างยิ่ง นั่นก็คือข้อความในประโยคที่ว่า... “West is a crumbling empire” หรือโลกตะวันตกก็คือ “จักรวรรดิที่กำลัง...แตกสลาย” นั่นแล!!!