รัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” กำลังโชว์ความไฟแรงด้วยความคิดและโครงการใหม่ๆ หวังสร้างความประทับใจให้ประชาชนโดยการบริหารแบบซีอีโอภาคเอกชน
แต่ละโครงการนำไปสู่คำถามว่าจะปฏิบัติได้จริงตามคำคุยโม้ช่วงหาเสียงหรือไม่ บางโครงการไม่เอ่ยถึงต้องให้ฝ่ายค้านเตือนความจำเช่น ค่าแรงขั้นต่ำ
เรื่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายกลายเป็นประเด็นพลิกลิ้นซึ่งก็ไม่เหนือความคาดหมาย โครงการลดค่าไฟฟ้า และน้ำมันก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลเข้ามาอุ้ม
ยิ่งไปเพิ่มงบกู้เงินมาอีกกว่า 1 แสนล้านบาท ขยายยอดหนี้ประจำปีงบประมาณ 2567 ทำให้ชาวบ้านคาดว่าคงจะเอาเงินมาโปะส่วนที่ต้องชดเชยลดราคา
ดูแล้วคงไม่ใช่เป็นการลดกำไรของผู้ประกอบการพ่อค้าน้ำมันและไฟฟ้า ซึ่งกอบโกยความมั่งคั่งตลอดมาโดยที่ฝ่ายรัฐบาลอวยให้ตลอด
เรื่องเงิน 10,000 บาทดิจิทัลก็ยังเป็นลูกผีลูกคนรัฐบาลยังควานหาเงินว่าจะเอามาจากไหน ไม่ลงตัวว่าจะเป็นดิจิทัลหรือรูปแบบ หรือมีเงินสด
ถ้ามีเงินสดควรจะจ่ายให้ประชาชน ไม่จำเป็นต้องจ่ายเป็นดิจิทัลดูแล้วน่าสงสัยอย่างที่บรรดาคนรู้ทันมองออกว่าอาจจะเป็นช่องทางทำมาหากินด้วย
และควรจะแยกแยะด้วยว่าเศรษฐีคนมีเงินไม่ควรจะรับถึงแม้จะอ้างว่าเป็นความเสมอภาคก็ตาม เงิน 10,000 บาทสำหรับเศรษฐีและคนทั่วไปต่างกัน
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลนำโดยซีอีโอ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้องคิดใหม่ทำเป็น ทบทวนว่าการแจกเงินเป็นการเพียงหาเสียงหรือจะให้เป็นโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอีกครั้งด้วยเงินก้อนมหาศาล
เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผลตอบแทนจะไม่คุ้มค่ากับเงินที่เสียไป และยิ่งถ้าเป็นเงินกู้มาจะเป็นการเพิ่มหนี้รัฐบาล ซึ่งยากที่จะทำงบประมาณสมดุลได้
ทำงานยังไม่ทันไรก็มีคนคาดเดาว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ถึงหนึ่งปีหรือไม่ ยิ่งประกาศว่าจะปราบปรามการระบาดของยาเสพติดให้ได้ภายในหนึ่งปี คนก็ไม่เชื่อ
แถมยังคุยโม้ ว่าจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันซึ่งรูปแบบการแสดงออกเป็นดรามา ก็ไม่ต่างจากที่ลุงห้าวเป้งโชว์ร่วมกับองค์กรต้านโกงทุกปี ไม่เคยสำเร็จ
ที่ผ่านมาก็เห็นการโกงจนกระทั่งเงินงบประมาณแทบไม่เหลือให้โกง ต้องกู้มาโกง ไม่อย่างนั้นพวกขี้โกงจะลงแดงอดอยากปากแห้ง ไม่มีเรี่ยวแรงทำงาน
กลัวเหลือเกินว่ารัฐบาลนิดหน่อยจะลงเอยแบบท่าดีทีเหลว ชาวบ้านก็ไม่ได้หวังว่าจะทำอะไรได้มาก
ตัวผู้นำรัฐบาลยังไม่มีโอกาสได้เลือกคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษา มีคนจัดการให้ทั้งหมด ไม่ต้องเหนื่อย
ไม่ต้องถามว่าจะคุมรัฐมนตรี หรือพวกที่ปรึกษาเสือหิวบางรายที่จะไม่ยอมเสียเวลา สร้างความมั่งคั่ง
ประชาชนจะพึ่งฝ่ายค้านไม่ได้เต็มที่เพราะมีตัวตึงตัวจี๊ดสร้างข่าวฉาวโฉ่ เหมือนเกรงว่าประชาชนจะลืม
ลีลาแต่ละอย่างทำให้ชาวบ้านแทบขย้อนเอาของเก่าออก รากแตกรากแตน โดยเฉพาะรองประธานอ๋องมีเรื่องให้ชาวบ้านพูดถึงไม่ขาดปาก
ฉายา “รองอ๋องป๋องเบียร์” “เจ้ามือเปิบหมูกระทะ” เกาะเก้าอี้แน่นพร้อมย้ายพรรค อ้างว่า ต้องทำงานเพื่อประชาชน ล่าสุดสร้างความฮือฮาอีกแล้ว
คราวนี้ยกทีมไปทัวร์สิงคโปร์นั่งชั้นธุรกิจอ้างว่าตัวเองอยากนั่งโลว์คอสต์แอร์ แต่ระเบียบห้ามจำเป็นต้องนั่งชั้นธุรกิจ แต่ไม่ยอมบอกว่ามีความจำเป็นอะไรต้องไปดูงาน
มันเกี่ยวอะไรกับตำแหน่งรองประธานสภาฯ และยังพ่วง สส.พรรคเดียวกันไปอีก 5-6 คน ทำให้มีเสียงครหาว่า เร่งใช้งบประมาณที่เหลือให้หมดภายในสิ้นเดือนนี้
คงเป็นการทำงานเพื่อประชาชนอีกนั่นแหละ และหนึ่งในพวกที่ไปด้วยนั้นก็เป็นนักอภิปรายเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่คุ้มค่าเสียด้วย
เข้าตำรามือถือสากปากถือศีล พูดอย่างทำอย่าง ไม่ต่างจากนักเลือกตั้งทั่วไปที่จ้องหาประโยชน์ส่วนตน
สะท้อนให้เห็นด้วยว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์ ฝ่ายที่เป็นรัฐบาลก็หากินไป ฝ่ายค้านก็จ้องหาเช่นเดียวกัน ประชาชนมีแต่เสีย
ที่จะได้ก็เป็นเศษเนื้อข้างเขียง ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไร หัวคิวก้อนใหญ่เป็นของนักเลือกตั้งและพวก
การยกทีม 50 คนไปประชุมใหญ่ของสหประชาชาติด้วยเงิน 30 ล้านบาท เช่าเหมาลำของการบินไทย จะเป็นการคุ้มหรือไม่ ถ้ารวมค่าที่พักและอาหารด้วย
นายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศถือโอกาสพบปะกับผู้นำชาติอื่น แต่ถ้าจะเดินทางด้วยความประหยัดมีจำนวนคนน้อยลงด้วยเที่ยวบินพาณิชย์น่าจะดีกว่า เมื่อคำนึงถึงสภาวะการเงินการคลังของรัฐบาล
แต่คิดได้ ถ้ามองว่าจะไม่สะดวกและไม่สมเกียรติเพราะคนก่อนหน้านี้ก็ทำเช่นเดียวกัน
ช่วงนี้เป็นอย่างที่ชาวบ้านบอกว่า “ขี้ใหม่หมาหอม” ต้องยอมให้เวลาทำงานพิสูจน์ฝีมือว่าเป็นของแท้หรือเพียงแค่เป็นผู้นำขัดตาทัพของรัฐบาลทดแทนบุญคุณ
เอาเพียง 100 วันแรก ก่อนน่าจะรู้ว่าจะไปได้สวยหรือว่าจบเห่ ก่อนครบวาระ 4 ปี แต่ก็นั่นแหละ พวกกูรูบอกว่า เอาเพียงแค่หนึ่งปีให้รอดเสียก่อนเถอะ
ถ้าอย่างนั้นเรารอดูว่าจากนี้ไปรัฐบาลของท่านนิดหน่อยจะแสดงฝีมือให้ชาวบ้านพอใจได้มากแค่ไหนหรือเป็นเพียงแค่นอมินี ทำตามใบสั่งเจ้าของพรรคเท่านั้น