ฟังการแถลงนโยบายรัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” มีข้อเสนอสารพัดให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าชีวิตจะดีขึ้นจากนี้ไปโดยโครงการอัดฉีดเงิน แนวทางการทำงานต่างๆ ทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะในภาคการเกษตร จะมีการปรับปรุง ยืดระยะเวลาชำระหนี้ การจัดหาปัจจัยการผลิต วงเงินช่วยเหลือ ชาวบ้านจะกระเป๋าตุงภายใน 4 ปี
“เศรษฐาจะนำพาประชาชนให้เป็นเศรษฐี” อะไรทำนองนั้น! ทำเอาชุมชนชาวบ้องตื้นเคลิ้ม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ได้รับรู้ว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน” นั้น ผ่านไป 9 ปี มีแต่หนี้ครัวเรือน หนี้ประเทศเพิ่มอย่างน่ากลัว
แล้วรัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” ซึ่งเป็นสภาพลอกคราบมาเป็นพันธุ์ผ่าเหล่าสะเทินน้ำสะเทินบก จะทำได้สำหรับรวดเร็วจริงหรือ เมื่อพื้นฐานแทบทุกระดับมีปัญหา
โครงการเงินดิจิทัลแจกหัวละหมื่นบาท ใช้งบ 5.6 แสนล้านบาท เป็นความหวังของชาวบ้านที่เชื่อว่าเป็นของฟรี แต่แท้จริงแล้วจะเอามาจากไหนยังไม่แน่ชัด
เพียงแต่ว่าใครก็ตามที่อายุ 16 ปีขึ้นไป ได้ทุกคน ทำให้คนอายุ 15 ปีเศษมองว่าไม่เป็นความเสมอภาคอย่างแรง แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้ว ประเทศไทยมีคนเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อย จะขอเป็นรัฐสวัสดิการแบบใจป้ำ จะไม่เข้าท่า
เงิน 5.6 แสนล้านบาท ไม่ใช่เสกใบไม้เปลี่ยนเป็นเงินได้ มีที่มาที่ไป เป็นต้นทุนที่รัฐต้องจ่าย ไม่ว่าจะเอามาจากไหนก็ตาม นี่เป็นเพียงการเล็งผลเลิศในการหาเสียง
อย่างที่คำคุยที่ว่าค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำได้ทันที ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาผู้สื่อข่าวไปซักรัฐมนตรีพุทโธ่ ก็ได้คำตอบว่าไม่ทันทีหรอก ต้องรออีก 2 ปี
คำตอบแบบนี้ทำเอาผู้นำรัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” หมดราคา แต่ยังอ้อมแอ้มว่ายังทำได้ อย่างนี้ก็ให้ไปคุยกันเอาเองแล้วมาบอกชาวบ้านก็แล้วกันว่าจะได้หรือไม่
ประเทศไทยไม่ต่างจากชาติอื่นๆ มีปัญหาด้านค่าครองชีพ เงินเฟ้อตามตัวเลขราชการไม่สูง แต่ในความเป็นจริงชาวบ้านในเมืองที่เป็นพวกระดับต่ำกว่าชนชั้นกลางลำบากมากในการดำรงชีพ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ที่อยู่อาศัยราคาแพง
มาตรฐานคุณภาพชีวิตต่ำ มีรายได้ไม่พอกับความสุขที่พอจะหาได้
ผู้มีรายได้ 15,000-20,000 บาทต่อเดือน ซึ่งต้องเช่าที่อยู่อาศัยต้องดิ้นรนอย่างหนัก ถ้าตัวคนเดียวพอเอาตัวรอดได้ แต่ต้องจำกัดจำเขี่ยสุดๆ เงินเก็บไม่ต้องพูดถึง
เพียงแค่อยู่รอดได้แต่ละเดือน โดยไม่ต้องมีหนี้สินพอกพูน ก็บุญโขแล้ว
ระดับเงินเดือนหรือรายได้แค่นี้ถือว่าเป็นพวกรายได้น้อย ไม่ต่างจากกรรมกรรับค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งมีมาตรฐานชีวิตขัดสนลำบากแทบเลือดตากระเด็น อดๆ อยากๆ
ถ้าประเทศไทยไม่ผลิตอาหารได้เอง ป่านนี้มีคนยากจนเกลื่อนถนน ไร้ที่อยู่แล้ว
เงินดิจิทัลเป็นการจ่ายครั้งเดียว ไม่มีการเติม จะหมุนได้กี่รอบยังน่าสงสัย เพราะไม่ใช่เป็นเงินสดจ่ายผ่านเป๋าตัง จะเอามาจากไหน หมุนวนได้กี่รอบ เป็นส่วนของระบบเงินตราหรือไม่ และจะมีความหมายแค่ไหนในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
การไม่เอาเข้าระบบเป๋าตัง คงไม่ใช่กลัวเสียหน้า เพราะเป็นระบบสืบทอดอำนาจกัน แต่เป็นประเด็นของการหาเม็ดเงินมากกว่า หรือถ้าจะให้เลวร้ายกว่านั้นก็ย่อมมีคนสงสัยว่ามีภาคเอกชนบางกลุ่มจะได้ประโยชน์จากการจัดการระบบ
หรือกลุ่มธุรกิจทุนใหญ่จะเป็นผู้รับประโยชน์ก้อนใหญ่ในขั้นสุดท้ายกันแน่
รัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” จึงมีนโยบายแกงโฮะผสมจับฉ่าย เอานโยบายจากพรรคร่วมและฝ่ายค้านมารวมกัน อ้างว่าเป็นสิ่งที่ดี ทั้งที่ยังน่าสงสัย เช่น นโยบายสุราก้าวหน้า ความเสมอภาคทางเพศ การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ฯลฯ
เป็นความจำเป็นเร่งด่วน ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านหรือไม่
หรือว่าแท้จริงแล้วไม่มีนโยบายจริงจัง เป็นชิ้นเป็นอัน คัดลอกนโยบายพรรคอื่นๆ มาเสริม โดยอ้างว่าดี หรือสกัดเสียงวิพากษ์ของฝ่ายค้าน ไม่ให้โจมตี
ประเด็นสำคัญที่ประชาชนไม่อาจคาดหวังว่าจะได้รับอย่างเต็มที่คือการลดราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มผลประโยชน์
ซ้ำร้ายเป็นกลุ่มที่ให้เงินทุนพรรคการเมืองไปหาเสียง รวมทั้งการลงทุนใน “วันแจกกล้วยแห่งชาติ” ในวันเลือกนายกรัฐมนตรี มีคนรู้ทัน วิจารณ์อื้ออึงเรื่องเงินเห็นชอบ ไม่มีใครกล้าออกมาปฏิเสธจริงจังว่าไม่ได้รับ ในกลุ่มพวกที่ “เห็นชอบ”
อย่างที่รู้กันว่า “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” นั่นปะไร หาหลักฐานไม่ได้เพราะการทุจริต รับสินบน สินน้ำใจ การตอบแทนไม่มีใบเสร็จ ไม่ใช่ธุรกรรมพาณิชย์
ค่าไฟฟ้าแพง ราคาน้ำมันแพง เป็นต้นทุนสูงสำหรับธุรกิจและประชาชนทั่วไป ค่าไฟฟ้าแพงแบบผิดธรรมชาติ ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ กลายเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยากเพราะเป็นการผูกพันแนบแน่นระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ และกลุ่มการเมือง
กลุ่มทุนจึงมีอำนาจเหนือรัฐมาทุกยุค แม้แต่การรัฐประหารบางยุคต้องเอาเงินทุนจากกลุ่มธุรกิจมาเป็นทุน อัดฉีดแม่ทัพนายกองเพื่อให้งานสำเร็จ ได้ผลตอบแทน
เศรษฐกิจอย่างนี้ เงินมีอำนาจมาก ซื้อได้ทุกอย่าง ซื้อคนไร้เกียรติได้ง่าย
รัฐบาล “ยุทธเศรษฐา” ยังมีสายล่อฟ้ามาก การแต่งตั้งผู้รับหน้าที่ต่างๆ ส่อเค้าให้เห็นระบบเล่นพรรคเล่นพวก ญาติโกโหติกา เป็นพฤติกรรมที่ไม่ยอมเปลี่ยน เป็นทั้งรัฐบาลทดแทนบุญคุณ ไม่คำนึงถึงผลที่จะได้รับ และความเชื่อมั่นของประชาชน
รัฐมนตรีส่วนหนึ่งถ่ายโอนมาจากชุดก่อน ตำแหน่งใหม่ เหมือนกับว่ามีความสามารถทุกด้าน อีกพวกเป็นกลุ่มเรื้อรังรออยู่ข้างนอก การกลับเข้ามาคงไม่มีสติปัญญา ความรู้ความสามารถมากกว่าเดิม นอกจากจะรีบเร่งจัดการความหิวโหย
ไม่ติเรือทั้งโกลนก็ได้ จะรอดูสักพัก ทั้งที่รู้กันอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร เคยมีแล้วนี่