การเมืองไทยก็เป็นดังเช่นทุกวันนี้ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางช่วงกองทัพเข้ามาขัดตาทัพ อยู่นานบ้าง สั้นบ้าง มีตัวแทนเข้ามาจัดการให้
รัฐบาลเศรษฐา-1 ยังไม่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ แต่ได้เดินหน้าพบปะกลุ่มต่างๆ ทั้งผู้นำกองทัพ ไม่เอ้อระเหย เป็นสไตล์การทำงานแบบซีอีโอภาคธุรกิจ ต่างจากรัฐบาลลุงห้าวเป้งที่นิยมรูปแบบการบริหารแบบข้าราชการ มีพิธีรีตองเยอะ
รัฐบาลเศรษฐา-1 จะมี 2 หรือไม่ ต้องรอดูผลการทำงานในช่วง 100 วันจากนี้ไป ช่วงนี้เห็นอาการฟิตจัดของนายกฯ คนใหม่ แสดงให้เห็นว่าไม่ต้องใช้เวลาฝึกงาน
เปลี่ยนจากห้องทำงานของซีอีโอบริษัทยักษ์ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น ส่วนองค์ประกอบหลักจะเห็นความต่างระหว่างข้าราชการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของบริษัทว่าจะตอบสนองทันความคิดของซีอีโอประเทศหรือไม่
เหมือนซีอีโอยุคทักษิณ ทำเอาบรรดาข้าราชการหงอ หมดยุคที่จะใช้เครือข่ายข้าราชการ “ครอบ” นักการเมือง หรือหนักกว่านั้นถึงขั้น “วางยา” ให้โดนคดี
ยุคคุณน้องปูโดนอำนาจข้าราชการจากรัฐประหารเล่นงานจนติดคุกหลายคนจนทุกวันนี้ ฉะนั้น ครม.เศรษฐา-1 ซึ่งมาในรูปแบบรัฐบาลผสม 11 พรรค ดูแล้วจัดสรรค่อนข้างลงตัวด้านผลประโยชน์ กระทรวงใคร กระทรวงมัน ต่างทำมาหากิน
อย่าให้มีปัญหา ผลประโยชน์ขัดกันจะบรรลัย มีเสียงแอ่น แอ๊น ตามมา
ดูโครงสร้างการจัดสรรผลประโยชน์ตามอำนาจต่อรอง เพื่อให้บ้านเมืองได้ไปต่อ ชาวบ้านอยากให้แก้ปัญหาไวๆ ตามคำอ้าง น่าจะราบรื่นในช่วงแรก
จะทำเป็นใจร้อน ออกลายเร่งถอนทุนไม่ได้ ถ้าใครทำ ถ้าคนอื่นไม่เอาอย่างก็จะมีเสียงโวยวาย เป็นเหตุให้อยู่ด้วยกันไม่ยืดยาว ทุกวันผ่านไป ยังมีคนจ้องล้ม
ความอยากเป็นนายกฯ ของบรรดาแคนดิเดตยังมีอยู่ จ้องหาจังหวะ ไม่ว่าจะเป็นลุงคนไหน ต่างสงวนท่าทีไม่บุ่มบ่าม ไม่ทวนกระแส หรือเร่งจังหวะ
นักเลือกตั้งย่อมไม่ทิ้งนิสัยเดิม การแสวงหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มที่อดอยากปากแห้งมานานกว่า 8 ปี อาจสร้างร่องรอยไว้ให้เห็น เกิดการปีนเกลียวได้
ช่วงแรกต้องเริ่มด้วยประชานิยม เงินดิจิทัล โครงการนี้ถูกเฝ้าจับตามองว่าจะมีภาคเอกชนรายไหนจ้องกอบโกยผลประโยชน์หรือไม่ มีความซับซ้อนในกลไกน่าดู
รัฐมนตรีที่ให้คำมั่นสัญญาเรื่องลดราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และประกาศว่าจะเริ่มอย่างนั้นอย่างนี้ก็ต้องดูว่าเจ้าของกระทรวงและนายทุนใหญ่ที่อยู่ข้างหลังยอมหรือไม่
ถ้าเพียงเสียกำไร เช่นลดค่าการตลาดจากราคาน้ำมันที่อยู่ในขั้นอุจาด บางช่วงเกิน 6 บาทต่อลิตร ก็ต้องยอมคายออกบ้าง ก่อนจะจุกตาย หรือโดนบีบคอให้คาย
ค่าไฟฟ้านี่แหละจะเป็นเรื่องใหญ่ของการขับเคลื่อนภาคพลเมือง จะเป็นการเผชิญหน้ากับกลุ่มทุนใหญ่ที่กอบโกยความมั่งคั่งจากน้ำตาชาวบ้าน และผู้ประกอบการธุรกิจที่ค่าไฟฟ้าทำให้ต้นทุนสูง ขาดกำลังในการแข่งขันและกำไร
รัฐบาลลุงห้าวเป้งยังไม่เคยแตะผลประโยชน์ของกลุ่มพลังงาน คนวงในก็รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ความสัมพันธ์แนบแน่นแค่ไหน ยิ่งกับรัฐบาลใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งแน่น
เงินลงทุนการเมืองครั้งนี้ทุนใหญ่ที่สุดก็มาจากกลุ่มธุรกิจพลังงาน รวมทั้งต้องหว่านให้บรรดาสื่อต่างๆ ให้ละเว้นการเป็นปากเสียงแทนชาวบ้านเรื่องค่าไฟฟ้าแพง
ด่านแรกที่รัฐบาลต้องผ่านไปให้ได้โดยไม่บอบช้ำมากนักคือวันแถลงนโยบาย
ฝ่ายค้านผสมแค้นจ้องเล่นงานเต็มที่ด้วยข้อมูลที่จะทำให้หลายคนหายใจหายคอไม่สะดวกด้วยพฤติกรรมของตนเอง และการจัดการธุรกิจที่น่าสงสัย เคลือบแคลง
เริ่มต้นจากซีอีโอประเทศที่ต้องถูกรื้อฟื้นข้อมูลกิจการบริษัทมหาชนที่เสี่ยชูแฉได้เปิดแผลไว้ค่อนข้างเหวอะหวะ ดูแล้วยังน่าหวาดเสียว จะมีหลายรายรุมทึ้งต่อ
“ผู้กอง” น่าจะเป็นสายล่อฟ้า มีวาระคงค้างมาตั้งแต่พรรคคนรุ่นใหม่เปิดแผลในรัฐบาลก่อน การโดนซักฟอกอีกรอบน่าจะหนักใจไม่น้อยสำหรับหัวหน้ารัฐบาล
ครั้งนี้นับว่ามีสายล่อฟ้าอยู่ไม่น้อย รุ่นเก่าที่ยังล้างคาวไม่หมดก็ได้กระทรวงถูกประเมินว่าเป็นขุมทรัพย์สำหรับการถอนทุน ชาวบ้านได้แต่หวังว่าถ้าจะมีการโกงกิน อย่าให้ถึงขั้นบ้านเมืองล่มจมก็แล้วกัน วิกฤตที่เผชิญอยู่ยังยากที่จะแก้ไข
รัฐบาลต้องหาเงินกว่า 5 แสนล้านบาทมาทำโครงการเงินดิจิทัล แจกหัวละหมื่นบาท ต้องรับสภาพงบประมาณขาดดุลเรื้อรังและต้องกู้ระหว่าง 5-6 แสนล้านบาทต่อปี จนแทบไม่มีวันที่จะคาดได้ว่าจะมีงบประมาณสมดุลได้เมื่อไหร่
หนี้ภาครัฐก็เริ่มบานต่อไป หนี้ครัวเรือนยังติดอันดับโลก รัฐบาลต้องกระตุ้น กระชาก ดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและมีอัตราการขยายตัวแบบเร่ง ดันการท่องเที่ยว
ทำงานไม่กี่วันผู้นำรัฐบาลต้องไปปรากฏตัวที่สหประชาชาติ ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะในการพบปะรู้จักผู้นำประเทศอื่นๆ จากนั้นก็ไปเยือนจีน เพื่อหาทางร่วมมือทางการค้า การลงทุน และขอให้นักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทยเยอะๆ
แต่ยังต้องระวังรับแต่คนจีนดีๆ เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเปิดฟรีวีซ่าจะมีสารพัดจีนเข้ามาร่วมทั้งบรรดาอาชญากรทั้งหลายที่เห็นแผ่นดินไทยเป็นแหล่งทำมาหากินเต็มที่
ก่อนหน้านี้มีแก๊งลูกหมู ยุคนี้มีคอลเซ็นเตอร์ และรูปแบบอาชญากรรมสารพัด จับกันไม่หวาดไม่ไหว อยู่กันเป็นกลุ่มชุมชนแบบเศรษฐีในหมู่บ้านหรู โชว์รวยหนัก
การลงทุนต้องเลือกว่าจะเอาพวกมีมลพิษเป็นพิษเข้ามาอย่างสบายเหมือนยุคลุงห้าวเป้งที่ให้เมืองไทยเป็นแหล่งทิ้งขยะพิษจากจีน แปลงสภาพดินดีมีแต่สารพิษกระจายไปทั่วแหล่งน้ำ สร้างวิกฤตต่อสุขภาพให้คนในประเทศนี้ระยะยาว
เอาเป็นว่าถ้าทำดีมีคนชม ถ้าทำต่ำตมมีแต่คนแช่งด่า หาคดีอาญาให้ด้วย