xs
xsm
sm
md
lg

ทัคเกอร์ คาร์ลสัน : สหรัฐฯ จะก่อสงครามกับรัสเซียปีหน้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทนง ขันทอง

ทัคเกอร์ คาร์ลสัน พิธีกรข่าวที่มีอิทธิพลมากที่สุดของสหรัฐฯ กล่าวว่า หากความพยายามทางกฎหมายในการขัดขวางไม่ให้โดนัลด์ ทรัมป์ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งล้มเหลว ขั้นตอนต่อไปอาจเป็นการลอบสังหารทรัมป์และการทำสงครามอันร้อนแรงกับรัสเซียเพื่อรักษาอำนาจของพวกเดโมแครต และรวมประชากรให้เป็นหนึ่งเดียวกัน


อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังขึ้นโรงขึ้นศาลที่รัฐจอร์เจีย เพราะถูกกล่าวหาว่าขัดขวางผลการเลือกต้ังประธานาธิบดีในปี 2000 ทรัมป์กำลังลงชิงชัยเป็นเป็นตัวแทนของพรรครีพับรีกันเพื่อสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี ฝ่ายเดโมแครตต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้ทรัมป์กลับมามีอำนาจ เพราะกลัวว่าจะถูกเช็กบิล ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง บวกกับปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้หลายคนมองว่าอาจจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองหรือการยกเลิกการเลือกต้ัง

คาร์ลสัน กล่าวในรายการของ Adam Carolla ว่า “เมื่อคุณเริ่มกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง คุณรู้ว่าคุณต้องชนะ ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาชนะ คุณจะโดนฟ้อง ดังนั้นพวกเขาจึงแพ้ไม่ได้ พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อชนะ แล้วพวกเขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ? พวกเขาจะไม่สร้างเรื่องโควิดอีก ผมรู้ว่าพวกฝ่ายขวาเกรงว่าพวกเขาจะสร้างโควิดอีก และให้มีการบังคับสวมหน้ากาก -- แต่พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้ พวกเขาถูกเปิดโปงแล้ว นั่นใช้ไม่ได้ผล”

คาร์ลสันพูดต่อไปว่าพวกเดโมแครตจะเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการก่อสงครามนอกบ้าน

“พวกเขากำลังจะทำอะไร พวกเขากำลังจะทำสงครามกับรัสเซีย นั่นคือสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ ปีหน้าจะมีสงครามอันร้อนแรงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียในปีหน้า”


คาร์ลสันอดีตพิธีกรทำรายการข่าวช่อง Fox News และ มีเรตติ้งสูงสุด แต่เขาถูกปลด เพราะเสนอข่าวไม่เป็นไปตามกระแสหลัก ตอนนี้เขาหันมาใช้แพลตฟอร์ม X หรือทวิตเตอร์ ทักเกอร์มีความเห็นว่าเมื่อยูเครนแพ้สงครามต่อรัสเซีย สหรัฐฯ ส่งทหารไปยุโรปเพื่อรบกับรัสเซียแทน

ด้านรัสเซียก็มองว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับนาโตอาจจะเลี่ยงไม่ได้ หลังจากการเผชิญหน้าทางทหารในยูเครนมาถึงจุดพลิกผัน ยูเครนอ่อนกำลังลงไปมาก และต้องพึ่งพาตะวันตกเกือบ 100% ทั้งการเงินและอาวุธยุโธปกรณ์ในการทำสงครามกับรัสเซียที่ดำเนินมาตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2022

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Dmitry Polyansky รองผู้แทนทูตของมอสโกประจำ UN กล่าวว่า กลุ่มทหารที่นำโดยสหรัฐฯ มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งในการสู้รบระหว่างมอสโกและเคียฟ

“เราได้เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าสถานการณ์นี้ค่อนข้างอันตราย และมีความเสี่ยงสูงที่จะมีการปะทะโดยตรงระหว่างรัสเซียและนาโต”

โปเลียนสกี กล่าวว่า พันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ กำลังสนับสนุนกองกำลังยูเครนทุกวิถีทางยกเว้นการส่งกำลังทหารโดยตรง รัสเซียสืบทราบข้อมูลว่ามีผู้ฝึกสอนต่างชาติและทหารรับจ้างในยูเครน มีข้อความแปลกๆ ที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียล้วงมาได้เกี่ยวกับการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และนายพลของ NATO

“เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพวกเขา (ผู้เชี่ยวชาญของ NATO) กำลังเข้าร่วมในปฏิบัติการทหารในยูเครน” โปเลียนสกี กล่าวเสริม

Polyansky ยังอ้างว่าสถานการณ์ปัจจุบัน “เลวร้ายมาก” สำหรับกองทัพยูเครน และ “ความช่วยเหลือจากตะวันตกเป็นเพียงความรอดทางเดียวของพวกเขาเท่านั้น” ในขณะที่คนส่วนมากเริ่มเข้าใจว่าเคียฟกำลังสูญเสียอย่างหนัก


อะไรก็เกิดขึ้นได้ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างนาโตและรัสเซียที่นับวันจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

มีรายงานว่าประธานาธิบดีปูตินได้สั่งการให้มีการติดตั้งขีปนาวุธซาร์มัต ซึ่งตะวันตกเรียกว่าซาตาน 2 ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลสามารถทำลายล้างสูง ลูกเดียวสามารถทำลายอังกฤษ หรือฝรั่งเศสให้หายไปได้จากแผนที่โลกได้ มีความสามารถในการเข้าถึงเป้าหมายหลายพันไมล์ที่อยู่ห่างออกไปในสหรัฐฯ หรือยุโรป ด้วยความเร็วได้เกือบ 16,000 ไมล์ต่อชั่วโมง  นับเป็นขีปนาวุธที่หนักที่สุดที่รัสเซียครอบครอง - มีน้ำหนักมากกว่า 200 ตัน – และหนักกว่าขีปนาวุธของประเทศใดๆ ในโลก ทำให้สามารถบรรทุกหัวรบได้ประมาณ 15 หัวรบ มีอานุภาพทำลายสูงสุดถึง 750kt เปรียบเทียบกับระเบิดที่สหรัฐฯ ทิ้งในฮิโรชิมา คือ 15 kt

“อาวุธที่มีเอกลักษณ์อย่างแท้จริงนี้จะเสริมสร้างศักยภาพในการรบของกองทัพของเรา รับรองความมั่นคงของรัสเซียจากภัยคุกคามภายนอก และให้อาหารสำหรับความคิดสำหรับผู้ที่พยายามคุกคามประเทศของเราท่ามกลางกระแสวาทกรรมก้าวร้าวอันดุเดือด” ปูติน กล่าว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงเวลาของการประกาศติดตั้งขีปนาวุธซาตานเมื่อวันศุกร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อข่มขู่ตะวันตก เนื่องจากวาทกรรมนิวเคลียร์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามยูเครนยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มอสโกได้ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีในดินแดนเบลารุส เพื่อเตรียมการรับมือกับโปแลนด์และยุโรป

ปีที่แล้วกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุในแถลงการณ์ว่า การทดสอบขีปนาวุธซาตาน “ประสบความสำเร็จ” โดยทำการทดสอบที่คอสโมโดรมเพลเซตสค์ ทางตอนเหนือของรัสเซีย กระทรวงกลาโหมระบุว่า ขีปนาวุธดังกล่าวได้ส่งหัวรบฝึกหัดไปยังสนามทดสอบคูราในคาบสมุทรคัมชัตคา ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย

นอกจากซาตานแล้ว รัสเซียยังมีขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง Kinzhal

รวมถึง Poseidon  และ Avangard ที่ทรงอานุภาพอีกด้วย

โดนัลด์ ทรัมป์ บอกว่า รัฐบาลไบเดนเตรียมการที่จะสร้างความหวาดกลัวเกี่ยวกับโควิดอีกคร้ัง พร้อมบังคับให้ทุกคนฉีดวัคซีนและสวมหน้ากาก เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นความล้มเหลวการบริหารเศรษฐกิจ ทรัมป์บอกว่าเขาและคนอเมริกันจะคัดค้านเรื่องนี้อย่างเต็มที่

ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าเขาเป็นประธานาธิบดี เขาจะเจรจาให้มีการยุติสงครามยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง

นายกรัฐมนตรีฮังการี วิกเตอร์ ออร์บาน ให้สัมภาษณ์ทัคเกอร์ คาร์ลสัน ว่ายูเครนไม่มีโอกาสที่จะชนะสงครามกับรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ คือความหวังเดียวของตะวันตก เขาบอกว่าชัยชนะของเคียฟต่อมอสโก ไม่ใช่แค่ความเข้าใจผิดแต่ เป็นเรื่องโกหก เป็นไปไม่ได้ที่จำนวนทหารยูเครนจะหมดเร็วกว่าทหารรัสเซีย ในที่สุดสิ่งที่จะนับได้คือรองเท้าบู๊ตบนพื้น

ผู้นำฮังการี กล่าวว่า มีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่สามารถยุติสงครามได้

นอกจากนี้ เขายังไม่เชื่อว่า ชาวรัสเซียจะเบื่อหน่ายกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และเขามองว่ามีโอกาสน้อยมากที่ไครเมียจะกลับไปเป็นของยูเครน

เมื่อถูกถามว่าเขาจะทำอะไรถ้าเขาเป็นโจ ไบเดน ออร์บาน ตอบว่า “โทรหาทรัมป์! เพราะคุณรู้ คุณสามารถวิพากษ์วิจารณ์เขาได้ด้วยเหตุผลหลายประการ … แต่ … นโยบายต่างประเทศที่ดีที่สุดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเป็นของทรัมป์ ทรัมป์ไม่ได้ก่อสงครามใหม่ใดๆ เขาปฏิบัติต่อเกาหลีเหนือ รัสเซีย และแม้แต่จีนอย่างดี … และ หากทรัมป์เป็นประธานาธิบดีในขณะที่รัสเซียบุกโจมตี (ของยูเครน) มันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น”

“ทรัมป์คือคนที่สามารถช่วยโลกตะวันตก” และมนุษยชาติทั้งหมดได้ เขากล่าว

ยังไม่มีความพยายามใดๆ จากตะวันตกหรือยูเครน ที่จะเจรจาสงบศึกกับรัสเซีย แม้ว่ายูเครนจะสูญเสียทหารไป 48,000 นาย ในการโจมตีตอบโต้ (counter-offensive) กองทัพรัสเซียต้ังแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยภาพรวมทหารยูเครนตายและบาดเจ็บไปแล้วกว่า 500,000นาย ฝ่ายรัสเซียสูญเสียไพล่พลไปประมาณ 40,000-50,000 นายตั้งแต่สงครามเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว

สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือยูเครนไปแล้วกว่า $130,000 ล้าน ตอนนี้คิดหนักว่าจะลงจากหลังเสืออย่างไร สงครามยูเครนจะกลายเป็นประเด็นการเมืองที่สำคัญในการเลือกต้ังประธานาธิบดีปีหน้า

ในสงครามตอบโต้ของยูเครน กองทัพรัสเซียตั้งรับมากกว่า โดยเปลี่ยนยุทธวิธีเพื่อมุ่งทำลายกองทัพยูเครนมากกว่าที่จะชิงพื้นที่ มีการวางกับดักทุ่นระเบิดเพื่อล่อให้ทหารยูเครนเข้ามา แล้วใช้โดรนจุดชนวนระเบิดเพื่อทำลายศัตรู ปรากฏว่าทหารยูเครนต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก โดยไม่สามารถยึดครองพื้นที่ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มีคำถามว่าสงครามตอบโต้จะดำเนินไปได้อีกกี่น้ำ

นิวยอร์กไทมส์ สื่อทรงอิทธิพลของอเมริกา รายงานว่า ในสมรภูมิแคว้นซาโปริเซีย ซึ่งเป็นจุดโฟกัสในการรุกตอบโต้ของเคียฟ หลังจากที่ยูเครนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจากการส่งกองทหารหน่วยเล็กๆ ฝ่าสนามกับระเบิดเข้าไปชิงหมู่บ้านคืนทีละแห่ง ปรากฏว่าเวลานี้รัสเซียกำลังแก้เกมตอบโต้ ด้วยการวางกับดักมรณะเพื่อรับมือ

ในช่วง 2 เดือนแรกของปฏิบัติการรุกตอบโต้ของฝ่ายเคียฟซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน กระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่ายูเครนได้สูญเสียทหารกว่า 43,000 นาย แลกกับการชิงคืนดินแดนในซาโปริซเซียเพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร ขณะที่เคียฟโทษว่า ต้นเหตุความล้มเหลวเป็นเพราะยุทธวิธีของตะวันตกที่ให้ส่งขบวนยานยนต์หุ้มเกราะตะลุยผ่านดงกับระเบิดโดยไม่ให้การสนับสนุนทางอากาศ

ฝ่ายรัสเซียยังอ้างว่าความล้มเหลวดังกล่าวยังทำให้เกิดความแตกแยกในกองทัพยูเครน โดยนายทหารใหญ่บางคนต้องการให้กลับไปใช้การโจมตีระยะไกลแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันเสาร์ (2 ก.ย.) นิวยอร์กไทมส์กลับรายงานว่ายูเครนประสบความสำเร็จสูงสุดจากการใช้ทหารราบหน่วยเล็กๆ เข้ายึดตึกและที่มั่นทีละแห่งจนสามารถยึดได้ทั้งหมู่บ้านหรือทั้งชุมชนในเวลาหลายๆ สัปดาห์

นิวยอร์กไทมส์อ้างการบอกเล่าของทหารยูเครนว่า แม้ทหารหน่วยเล็ก สามารถฝ่าสนามกับระเบิดได้ง่ายขึ้น แต่กองกำลังรัสเซียได้เปลี่ยนยุทธวิธีตอบโต้ เช่นการฝังกับระเบิดเอาไว้ในทุ่งพร้อมสารไวไฟ และหลังจากทหารยูเครนเข้าเคลียร์พื้นที่ รัสเซียจะส่งโดรนไปทิ้งระเบิดทำให้บริเวณดังกล่าวระเบิดและกลายเป็นทะเลเพลิง

ขณะเดียวกัน แม้ถนนลาดยางบางปลอดภัยกว่า เนื่องจากตรวจพบและเก็บกู้กับระเบิดได้ง่ายกว่า แต่ทหารยูเครนยังต้องเสี่ยงกับการซุ่มยิงด้วยปืนกลที่รัสเซียวางกำลังไว้เป็นระยะ อีกทั้งยังส่งโดรนสอดแนมต่อเนื่อง

ทหารยูเครนเล่าให้นิวยอร์กไทมส์ฟังว่า ทันทีที่เข้ายึดบ้านหรือตึกสำเร็จ โดรนที่บินอยู่ในบริเวณนั้นจะแจ้งกองกำลังรัสเซียซึ่งจะยิงจรวดและปืนใหญ่ถล่มอย่างฉับพลัน

ทั้งนี้ ขณะที่สื่อตะวันตกรายงานสถานการณ์ที่ตอกย้ำความล้มเหลวของปฏิบัติการตอบโต้ของยูเครนมากขึ้น วันศุกร์ที่ผ่านมา (1 ก.ย.) ดมิทรี คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ประกาศว่า การวิจารณ์ความล่าช้าของปฏิบัติการตอบโต้เท่ากับเป็นการถ่มน้ำลายรดหน้าทหารยูเครนที่เสียสละชีวิตในทุกๆ วัน ก่อนร้องขอให้ชาติตะวันตกสนับสนุนอาวุธเพิ่มให้ยูเครน


ศึกต่อไปจะเป็นโปแลนด์

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ปูตินบอกว่าผู้นำโปแลนด์กำลังวางแผนที่จะจัดตั้งแนวร่วมที่ได้รับการสนับสนุนจากนาโต เพื่อแทรกแซงความขัดแย้งในยูเครน และยึดครองพื้นที่บางส่วนของยูเครนตะวันตก รวมถึงเบลารุส

ปูตินกล่าวในการประชุมกับสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงรัสเซียว่า รัฐบาลเคียฟเต็มใจที่จะใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่ออยู่ในอำนาจ ซึ่งรวมถึงการขายคนของตนเองและมอบดินแดนยูเครนให้กับ “ต่างชาติ”

ประธานาธิบดีรัสเซียกล่าวว่า บุคคลแรกที่เข้าแถวคือชาวโปแลนด์ ซึ่งเขาอ้างว่า “อาจคาดว่าจะจัดตั้งแนวร่วมบางประเภทภายใต้ “ร่มเงาของนาโต”และแทรกแซงโดยตรงต่อความขัดแย้งในยูเครน เพื่อที่จะ “ฉีกแผ่นดินยูเครนออก” ชิ้นส่วนที่ใหญ่กว่าสำหรับตัวพวกเขาเองในการฟื้นคืนดินแดนทางประวัติศาสตร์ของพวกเขาตามที่พวกเขาเชื่อ - ยูเครนตะวันตกในปัจจุบัน”

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่างประเทศของรัสเซีย (SVR) เซอร์เกย์ นาริชคิน ยังกล่าวหาว่าวอร์ซอกำลังพิจารณายึดดินแดนทางตะวันตกของยูเครนด้วยการส่งกองกำลังโปแลนด์ไปยังภูมิภาคนี้ ภายใต้โครงการริเริ่มด้านความมั่นคงโปแลนด์-ลิทัวเนีย-ยูเครน

ปูตินแสดงความคิดเห็นต่อรายงานของ SVR ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของแนวร่วมดังกล่าวคือการยึดครองดินแดนยูเครน “โอกาสนั้นชัดเจน หากหน่วยของโปแลนด์เข้ามา เช่น Lvov หรือดินแดนอื่นๆ ของยูเครน พวกเขาก็จะอยู่ที่นั่น และ จะอยู่ที่นั่นตลอดไป”

ปูตินยังตั้งข้อสังเกตว่า เป็น“ที่รู้กันดี” ว่าวอร์ซอ มี “ความฝัน” ที่จะอ้างสิทธิ์บางส่วนของดินแดนเบลารุสด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้นำรัสเซียเตือนว่าถึงแม้ยูเครนมีสิทธิที่จะขายดินแดนของตนเองได้มากเท่าที่ต้องการ แต่เมื่อพูดถึงเบลารุส การรุกรานใดๆ ต่อส่วนหนึ่งของรัฐสหภาพจะหมายถึงการรุกรานต่อรัสเซีย

“เราจะตอบสนองต่อสิ่งนี้ด้วยทุกวิถีทางเท่าที่เราจะจัดการได้” ปูติน กล่าว

ปูตินเคยบอกว่า ดินแดนทางตะวันตกของโปแลนด์ คือ “ของขวัญจากสตาลินต่อชาวโปแลนด์”

ปูตินเล่าว่าโปแลนด์ใช้สงครามกลางเมืองของรัสเซียในปี 1917 เพื่อผนวกเอาดินแดนส่วนหนึ่งของลิทัวเนีย และ Vilen Krai เป็นของตน นอกจากนี้ โปแลนด์ยังมีส่วนร่วมในการแบ่งแยกเชโกสโลวาเกียอันเป็นผลจากข้อตกลงมิวนิคกับผู้นำนาซี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในปี 1938

ประธานาธิบดีรัสเซียเตือนว่า “นโยบายก้าวร้าวเช่นนี้” สิ้นสุดลงสำหรับโปแลนด์ด้วยโศกนาฏกรรมระดับชาติในปี 1939 เมื่อพันธมิตรตะวันตกถูกโยนโปแลนด์ไปให้เครื่องจักรของทหารเยอรมันทำลายทำให้โปแลนด์ต้อง สูญเสียเอกราชและสถานภาพของการเป็นประเทศ ต่อมาโปแลนด์ได้รับการฟื้นฟูประเทศ เนื่องจากสหภาพโซเวียต

“และต้องขอบคุณสหภาพโซเวียต ต้องขอบคุณสตาลิน ที่โปแลนด์ได้รับดินแดนสำคัญทางตะวันตก ดินแดนของเยอรมนี นี่เป็นกรณีนี้จริงๆ... ดินแดนทางตะวันตกของโปแลนด์ในปัจจุบันเป็นของขวัญที่สตาลินมอบให้กับชาวโปแลนด์ เพื่อนของเราในวอร์ซอลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือ เราจะเตือนพวกเขา” เขากล่าว
 


กำลังโหลดความคิดเห็น