นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เป็นต้นมา ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ส.ส.จะมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่ เพื่อส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับคนเก่าซึ่งมีอยู่ก่อนหน้านี้ และผลการแข่งขันส่วนใหญ่จะแพ้แก่พรรคเก่า ยกเว้นที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีความพร้อมทางด้านทุนเช่น พรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ. 2544 และเรื่อยมาจนถึงการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 แต่ในปี พ.ศ. 2566 ที่เพิ่งจะผ่านไป พรรคก้าวไกลซึ่งเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นานได้รับชัยชนะเหนือการเลือกตั้งมากที่สุด
นอกจากสองพรรคดังกล่าวแล้วข้างต้น พรรคที่เกิดใหม่จะพ่ายแพ้แก่พรรคเก่า
อะไรทำให้พรรคการเมืองเกิดขึ้น และทำให้พรรคการเมืองต้องล้มหายตายจากวงการเมือง
ถ้าดูจากวัตถุประสงค์และอุดมการณ์ทางการเมืองแล้ว พรรคการเมืองไทยแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก
แต่ที่แตกต่างและทำให้แพ้ชนะทางการเมืองเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. ทุนนิยม และทุนทางสังคมของผู้ก่อตั้งพรรค
2. นโยบายที่นำมาเป็นจุดขายทางการเมือง โดยเฉพาะนโยบายทางเศรษฐกิจ และมาตรการในการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
3. ความล้มเหลวของรัฐบาลก่อนการเลือกตั้ง ทำให้การเมืองในขั้วตรงกันข้ามนำมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เพื่อสร้างจุดขายทางการเมือง โดยการเสนอวิธีการแก้ปัญหาเพื่อเรียกร้องความสนใจ และสร้างศรัทธาทางการเมือง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ นโยบายประชานิยมในรูปของการลด แลก แจก แถม ซึ่งพรรคการเมืองภายใต้การนำและชี้นำของทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ยุคของพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน เป็นจุดขายทางการเมืองที่ประสบความสำเร็จจนทำให้ทุกพรรคการเมืองเดินทางตาม
แต่ในความสำเร็จก็มีความล้มเหลวแฝงอยู่ เพื่อพรรคการเมืองภายใต้การนำและชี้นำของทักษิณ ชินวัตร ได้มีโอกาสก็ได้ทำสิ่งที่ตนเองไม่ได้พูด นั่นคือการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ โดยการใช้อำนาจรัฐในรูปแบบต่างๆ จนกลายเป็นช่องว่างให้ประชาชนและพรรคการเมืองคู่แข่งออกมาต่อต้าน และนำไปสู่การโค่นล้มด้วยการปฏิวัติรัฐประหารถึงสองครั้ง
ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลก็ยังยึดนโยบายประชานิยมเป็นจุดขายทางการเมืองเช่นเดิม
แต่พรรคก้าวไกลได้เปรียบทางการเมือง เนื่องจากเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ประกอบกับไม่เคยเป็นรัฐบาล จึงไม่มีข้อด้อย เป็นความด่างพร้อยทางการเมือง จนเป็นเหตุให้พรรคคู่แข่งนำไปโจมตี ประกอบกับพรรคนี้ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ไฟแรง มีเจตนาดีจึงทำให้แซงคู่แข่งคือ พรรคเพื่อไทยไปได้
แต่ถึงกระนั้น พรรคก้าวไกลก็ไปไม่ถึงเป้าหมายคือได้เป็นรัฐบาล เนื่องจากเหลิงและหลงตัวเองไปยึดติดกับคะแนนเสียง 14 ล้านเสียง ได้ประกาศจุดยืนในการแก้มาตรา 112 จึงทำให้พรรคการเมืองอื่นตั้งเป็นเงื่อนไขในการไม่เข้าร่วมรัฐบาล รวมถึง ส.ว.ก็ประกาศไม่โหวตให้ในการเลือกนายกรัฐมนตรีในที่สุด พรรคก้าวไกลก็สะดุดขาตัวเองล้มในการเลือกนายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่สามารถหาเสียงสนับสนุนได้ถึง 376 เสียง จึงกลายเป็นโอกาสของพรรคเพื่อไทยในการเป็นแกนรำจัดตั้งรัฐบาล โดยการแยกตัวเองออกมาจากพรรคก้าวไกล จึงเท่ากับผลักให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ข้ออ้างที่คอการเมืองฟังแล้วรับได้ว่าทั้ง ส.ว.และพรรคการเมืองในฝ่ายรัฐบาลเดิมไม่ยอมรับพรรคก้าวไกล ถ้าขืนอยู่รวมกันต่อไปก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว.และ ส.ส.จากขั้วเดิม
ส่วนพรรคก้าวไกลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเป็นฝ่ายค้านด้วยความจำใจ และโทษใครไม่ได้นอกจากตนเองที่ไม่รู้ และไม่เข้าใจในความมีและความเป็นของชนชาติไทยที่มีวัฒนธรรมประเพณี และความเป็นไท ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
อย่างไรก็ตาม การเป็นฝ่ายค้านอาจเป็นโอกาสดีทางการเมืองของพรรคก้าวไกลในการเลือกครั้งต่อไป แต่ทั้งนี้แกนนำของพรรคจะต้องพูดให้ชัดเจนว่าจะทำอะไร และไม่ทำอะไร รวมถึงกำหนดเวลาและวิธีการด้วยว่า จะทำได้เมื่อไหร่และจะทำอย่างไรด้วย โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคมที่เกี่ยวข้องกับองค์กรสำคัญของชาติ มิฉะนั้นจะพบกับทางตันทางการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่าลืมว่า ประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว และปัจจุบันคือประวัติศาสตร์ในอนาคต ถ้าไม่มีในปัจจุบัน อย่าหวังว่าอนาคตจะดี
ด้วยเหตุนี้นโยบายจะต้องชัดเจน และสอดคล้องกับเจตนาที่แท้จริง การคิดอย่าง พูดอย่าง และทำอย่าง แตกต่างกันไป นั่นคือ การโกหกตนเองก่อนที่จะโกหกคนอื่น