เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา มีการประชุมสุดยอดผู้นำแอฟริกากับรัสเซียที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยมีปธน.ปูตินเป็นเจ้าภาพ ที่บ้านเกิดของเขา โดยเป็นการจัดครั้งที่ 2 ของการประชุมระดับสุดยอดนี้ ซึ่งครั้งแรกจัดเมื่อปี 2019-ก่อนเกิดโควิดไม่นานนัก ที่เมืองตากอากาศ Sochi ของรัสเซีย…แล้ว เมื่อเกิดการระบาดของโควิดปี 2020 ก็มีการปิดพรมแดนกั้นจากแทบทุกประเทศทั่วโลก ทำให้ไม่มีการจัดประชุมสุดยอด-จนปีนี้-โรคระบาดโควิดเริ่มลดความร้อนแรง (เพราะมีทั้งการค้นพบวัคซีนตั้งแต่ปลายปี 2020 และการค้นพบยารักษาโรคในปลายปี 2021) ประกอบกับปี 2022 เป็นปีที่น้ำหนักของทั้งโลกไปอยู่ที่สงครามยูเครนด้วย ดังนั้น ปีนี้จึงเป็นจังหวะเหมาะที่รัสเซียได้จัดการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 โดยเลือกเอาเมืองเกิดของปูตินเป็นสถานที่จัด
มีการตั้งข้อสังเกตจากทางตะวันตกว่า ประมุขสูงสุดของประเทศแอฟริกามีประมาณ 50 ประเทศ และได้เคยเดินทางมาร่วมประชุมสุดยอดครั้งที่ 1 ที่เมือง Sochi มากันถึง 47 คน-แต่ครั้งนี้ระดับประมุขสูงสุดมาแค่ 17 คนคือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของครั้งที่แล้ว ก็ด้วยสาเหตุคือ
เรื่องแรก คือ สงครามยูเครนทำให้ผู้นำหลายประเทศในแอฟริกา ไม่อยากให้ทั่วโลกมองเห็นภาพความใกล้ชิดระหว่างตัวเขาเองกับปธน.ปูติน ที่เสียงส่วนใหญ่ของสมัชชาสหประชาชาติลงมติประณามปูตินในการบุกถล่มยูเครน ถึงกับรวมตัวกันส่งตัวแทนมากดดันปูตินให้ยุติสงครามโดยเร็ว (ก่อนหน้าการประชุมสุดยอดในครั้งนี้)
เรื่องที่สอง คือ รัสเซียเพิ่งตัดสินใจไม่ยอมต่ออายุข้อตกลงลำเลียงขนส่งธัญพืชจากยูเครนออกมาสู่ปากท้องของคนทั้งโลก โดยเฉพาะเหล่าพลเมืองหิวโหยในแอฟริกา
แน่นอนมีลูกยุจากตะวันตกเพื่อให้หลายประเทศในแอฟริกาทำการคว่ำบาตรการประชุมในครั้งนี้ โดยเฉพาะเหล่าประเทศที่ใกล้ชิดกับตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเคนยา, ไนจีเรีย เป็นต้น
ด้านรัสเซีย...โฆษกทำเนียบเครมลินออกมาชี้แจงว่า ผู้นำประเทศในแอฟริกาถูกกดดันและหลอกล่อจากตะวันตกถึงขนาดตกเป็นตัวประกัน โดยนำเอาผลประโยชน์เข้าหลอกล่อ เพื่อไม่ให้ผู้นำหลายคนเข้ามาร่วมประชุม
ทางเครมลินกลับชี้แจงว่า ระดับรองปธน.มาถึง 49 คน แล้วมีระดับนายกฯ หรือรองนายกฯ ก็มากันเพียบ ดูอบอุ่นเช่นเคย
จะขาดก็คือผู้นำจากประเทศไนเจอร์ (หรือ Niger) ที่เกิดรัฐประหารในวันเริ่มประชุมสุดยอดที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กพอดี
ปธน.ปูติน เปิดประชุม โดยประกาศมอบธัญพืช (ที่แอฟริกาโทษปูตินที่ไม่ยอมต่ออายุสัญญาการขนส่ง) แบบไม่คิดเงินใดๆ-ให้ฟรีเลย (free of charge) จำนวน 25,000-30,000 ตัน...ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างชื่นมื่นจากเหล่าผู้นำแอฟริกาที่เข้าร่วมประชุม (โดยจะมอบให้ประเทศที่เป็นมหามิตร 6 ประเทศในแอฟริกา แล้วไปทำการกระจายต่อตามความจำเป็น)
ต่อมา เขาได้เน้นการยกระดับความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับแอฟริกาให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ในด้านพลังงาน, เทคโนโลยี, การค้าและการลงทุน โดยเขาจะเปิดโรงเรียนสอนภาษารัสเซียในหลายๆ แห่งทั่วแอฟริกา เพื่อช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความร่วมมือมากมายกับรัสเซีย
เขาได้ประกาศกร้าวว่า ถึงเวลาที่แอฟริกาจะปลดแอกจากดอลลาร์ ในการซื้อขายสินค้า และการลงทุน เพราะแอฟริกาเป็นแหล่งสินแร่ทรัพยากรสำคัญของโลก (ทั้งทองคำ, ทองแดง, เพชร, ยูเรเนียม, อะลูมิเนียม หรืออาจมีแร่หายากและลิเทียมสำหรับผลิตชิปที่สำคัญด้วย) ซึ่งเวลาจะขายสินค้าเหล่านี้ ก็จะต้องแปลงจากสกุลท้องถิ่นเป็นดอลลาร์ก่อน และถ้าหันมาใช้สกุลท้องถิ่น หรือจะใช้เงินรูเบิล, เงินหยวน ก็จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน และลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
เขาประกาศก้องว่า สหรัฐฯ ใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว และเอาเปรียบเหล่าผู้ค้าขายทั่วโลก ที่ต้องแลกเป็นสกุลดอลลาร์ ขณะเดียวกัน ก็จัดตั้งระบบ SWIFT ที่เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนเงินในการค้าขาย ซึ่งรัสเซียเองก็กำลังถูกลงโทษ โดยถูกคว่ำบาตรไม่ให้สามารถเข้าถึงระบบแลกเปลี่ยนนี้
รัสเซียคิดไม่ถึงว่า จะถูกอายัดเงิน (ในฐานะเจ้าหนี้) ที่ฝากเงินทุนสำรองของรัสเซียในรูปดอลลาร์ (แลกกับพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน) ถึงกว่าครึ่งของเงินทุนสำรองของประเทศรัสเซีย...นั่นคือ หลังรัสเซียบุกยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ทางการสหรัฐฯ ได้ทำการอายัดเงินของรัสเซียถึงกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์...(จากทั้งหมดเขามีอยู่ 6 แสน 5 หมื่นล้าน-ที่มีอยู่ในประเทศเหลืออยู่แค่ 3 แสนล้านดอลลาร์)
ปูตินบอกว่า นี่เป็นการปล้นกลางวันแสกๆ เลยอย่างหน้าตาเฉย เพราะมีสัญญาการฝากเงินของรัสเซียกับสถาบันการเงินของรัฐบาลอเมริกันที่จะต้องเก็บรักษาไว้ตามสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ... ไม่ใช่นึกอยากจะยึดอายัดก็ทำได้ (โดยทางสหรัฐฯ ได้อธิบายภายหลังว่า เงินก้อนนี้จะนำไปพัฒนาฟื้นฟูประเทศยูเครนภายหลังสงครามจบสิ้นลงแล้ว)
การปล้นเงินครั้งนี้ของรัฐบาลอเมริกันที่ทำกับรัสเซีย ทำให้ประเทศอื่นๆ ที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน หรือฝากเงินไว้กับรัฐบาลอเมริกัน เกิดความหวาดหวั่นว่า จะเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้กับประเทศของตน...ในเวลาที่สหรัฐฯ ถืออำนาจบาตรใหญ่ ไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศ และจะยึดทรัพย์หรืออายัดเงินได้ดื้อๆ แบบที่ทำกับรัสเซีย และนี่เป็นสาเหตุที่ประเทศต่างๆ เริ่มลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันเช่นประเทศจีน และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น