xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกาล่มสลายภายในปี 2025???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย
ความพยายามทุ่มเท ออกเรี่ยว-ออกแรงเพื่อ “สันติภาพ” ของผู้นำชาติแอฟริกาถึง 7 ประเทศ อันประกอบไปด้วยแอฟริกาใต้ อียิปต์ คองโก อูกันดา เซเนกัล แซมเบีย และคอโมรอส ที่แห่ไปแวะเยี่ยมเยียนผู้นำยูเครนและรัสเซียถึงหัวกระไดบ้าน เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะออกไปทาง “แห้วกระป๋อง” อยู่พอสมควร เพราะไม่ว่าตัวตลก-ตัวแทนอย่างประธานาธิบดี “โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้” หรือของจริง-ของแท้อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ต่างยืนหยัด ยืนยัน อยู่กับ “จุดยืน” ของตัวเองที่ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจาก “แผนสันติภาพ 10 ข้อ” ที่เสนอโดยบรรดาผู้นำชาติแอฟริกาแบบคนละเรื่อง-ละม้วน...

แต่ก็นั่นแหละ...ความเพียรพยายาม ความปรารถนาอันสวยสดงดงาม ถึงสิ่งที่เรียกกันว่า “สันติภาพ” ย่อมทำให้การลงทุน ลงแรง เหล่านี้ ย่อมต่างไปจาก “แห้วกระป๋อง” ธรรมดาๆ อยู่แล้วแน่ๆ!!! หรืออย่างที่ผู้อำนวยการบริหารแห่งสถาบัน “The Institute for Global Dialogue” “นายPhilani Mthembu” เขาได้ตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ประมาณว่า ความร่วมมือของ 7 ชาติแอฟริกาคราวนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้มีฐานะ บทบาท ใน “เวทีโลก” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ใช่แค่ “ประเทศหลังเขา” อีกต่อไป แต่ยังมีส่วนส่งผลให้บรรดาชาติต่างๆ ในแอฟริกา สามารถปกป้องตัวเองจาก “แรงกดดัน” ของมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและชาติตะวันตก ที่พยายามอาศัยอำนาจ อิทธิพลตามแบบฉบับ “อดีตนักล่าอาณานิคม” ทั้งหลาย บีบบังคับให้แต่ละชาติต้องตัดสินใจ “เลือกข้าง” หรือต้องหันไป “ต่อต้านรัสเซีย” ตามความปรารถนาและต้องการของตัวเอง เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งอดีต...

ดังนั้น...แม้ผู้นำยูเครนยังคงยืนหยัด ยืนยัน อยู่กับ “แผนสันติภาพ” ของตัวเองคือต้องให้ฝ่ายรัสเซียถอนกำลังออกไปจากทุกๆ พื้นที่ทุกอาณาบริเวณที่เคยเป็นดินแดนยูเคน ไปจนถึงแหลมไครเมีย ถึงจะยอม “นั่งโต๊ะเจรจา” ด้วย ขณะที่ฝ่ายรัสเซียโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ “เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ก็พูดไว้ชัดเจนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 มิ.ย.) ด้วยความเชื่อมั่นเอามากๆ ว่า “ความพยายามดำรงตนเป็นจ้าวโลกของสหรัฐฯ นั้น ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกต่อไป เพราะท้ายที่สุดแล้ว...ยูเครนและผู้สนับสนุนเบื้องหลังจะต้องถูกกดดันให้ยอมรับข้อเท็จจริงใหม่ๆ อันเป็นความจริงที่แข็งแกร่งก่อนการหยุดยิงจะเริ่มต้นขึ้น นั่นคือการที่ดินแดน Donetsk, Lugansk, Kherson และ Zaporozhye ได้ผ่านการลงประชามติเพื่อเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัสเซียเรียบร้อยแล้ว...” หรือสรุปว่าต่างไม่คิดจะ “ใส่เกียร์ถอยหลัง” ไปด้วยกันทั้งคู่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” จะสิ้นสุด สิ้นสูญลงไปก็หาไม่ อย่างน้อย...ก็ยังคงมีคุณพี่จีน ที่เพียรพยายามทุ่มทุน ทุ่มเท กับ “แผนสันติภาพ 12 ข้อ” รวมทั้งโลกทั้งโลกที่ต่างไม่อยาก “ซวยไปด้วย” กับสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” อันอาจเตลิดเปิดเปิงไปถึงขั้น “นิวเคลียร์-ไม่นิวเคลียร์” เอาเลยก็ไม่แน่!!!

ด้วยเหตุนี้...ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงขึ้นอยู่กับใคร “อึด” หรือใคร “ยืนระยะ” ได้มาก-น้อยไปกว่ากันซึ่งคงต้องยอมรับว่าขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา อย่างรัสเซียและจีน ออกจะมาแรง-แซงโค้งไปด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าจะดูจากความคึกคัก โครมคราม ในเวทีประชุมระดับโลกช่วงหลังๆ แต่ละเวที อย่างเช่นเวที “Arab-China Business Conference” ที่กรุงริยาดช่วงวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยนักธุรกิจในเอเชีย-ตะวันออกกลางกว่า 3,000 คนเข้าร่วมเซ็นสัญญาซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยน บรรลุข้อตกลงทางธุรกิจด้านเทคโนโลยี การเกษตร เหมืองแร่ ท่องเที่ยว ห่วงโซ่อุปทาน ฯลฯ มูลค่านับหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ หรือเวทีประชุม “St. Petersburg International Economic Forum” หรือ “SPIEF” ในรัสเซียที่ผู้คนกว่า 100 ประเทศพร้อมหันไปคบหาสมาคมกับหมีขาวตัวนี้ แทนที่คิดจะรุมเหยียบ รุมกระทืบ อย่างที่คุณพ่ออเมริกาและชาติตะวันตกปรารถนา-ต้องการเสียเหลือเกิน นั่นยังไม่รวมถึงการเติบโต ขยายตัว ของกลุ่มประเทศอย่าง “BRICS” ที่มีทั้งจีนและรัสเซียเป็นผู้ริเริ่มมาตั้งแต่แรก ที่ว่ากันว่า...กว่า 20 ประเทศกำลังเข้าคิวเรียงแถวรอเป็นสมาชิกรายใหม่ นอกเหนือไปจากบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศ “SCO” ที่มีคุณพี่จีนเป็นผู้ริเริ่ม ไปจนถึงกลุ่มประเทศ “Eurasian Economic Union” ที่มีคุณน้ารัสเซียเป็นแกนหลักโน่นเลย...

แต่ครั้นเมื่อหันมามองคุณพ่ออเมริกาและชาติพันธมิตรตะวันตก...คงปฏิเสธมิได้ว่า ออกจะแห้งเหี่ยว หัวโตและโฮมอโลนอยู่พอสมควรทีเดียว โอกาสจะ “อึด” จะ “ยืนระยะ” ต่อไปได้เรื่อยๆ น่าจะลำบากเอามากๆ ไม่ว่าจะในแง่เศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่การทหารก็เถอะ!!! หรืออย่างที่ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์และอาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเยล นิวยอร์ก ยูทาห์ และซอร์บอนน์หรือมหาวิทยาลัยปารีส ฯลฯ “นายRichard Wolff” สรุปไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า...“เราแพ้ในสงครามเวียดนาม ในอัฟกานิสถาน ในอิรัก และแม้ยังไม่ชัดเจนว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปในสงครามยูเครน แต่ผมกล้าพนันได้เลยว่า ท้ายที่สุด...ผลมันคงไม่ต่างอะไรไปจากกัน”

เพราะโดยความคิด ความเห็น ของศาสตราจารย์รายนี้ ท่านค่อนข้างเชื่อเอามากๆว่า “จักรวรรดิอเมริกา” กำลังเผชิญกับ “ความเสื่อม” ไม่ต่างไปจากที่ “จักรวรรดินิยมอังกฤษ” เคยเจอเมื่อไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา หรือเพราะ “จักรวรรดิอเมริกาไม่สามารถทำงานได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ไม่อาจแสวงหาอาณานิคมแบบเดียวกับที่จักรวรรดิอังกฤษเคยทำกับอินเดีย แอฟริกา หรือที่อื่นๆ แม้จะมีหนทางโดยอ้อมในการควบคุมละตินอเมริกา ควบคุมเศรษฐกิจโลก การมีบทบาททางการเมืองและการสร้างพันธมิตรในแต่ละประเทศ แต่สิ่งนั้นได้ผ่านจุดสุดยอดมาแล้วตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2000 และเมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเสื่อมอย่างเห็นได้โดยชัดเจน...” โดยเฉพาะเมื่อการขยายตัวของกลุ่มประเทศ “BRICS” ดันมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เงินตราสกุลดอลลาร์ของสหรัฐ ได้สูญเสียบทบาทการครอบงำเศรษฐกิจ การค้าโลก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ต่างไปจากที่เงินปอนด์อังกฤษเคยถูกดอลลาร์อเมริกันเบียดชิดซ้าย ตกคู ตกคลอง ไปในลักษณะเดียวกัน หรือทำให้อนาคตของอเมริกาย่อมไม่ต่างไปจากจักรวรรดิอังกฤษ ที่แม้เคยได้ชื่อว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” มาเมื่อครั้งอดีตก็ตาม...

ส่วนจะเป็น “เงินหยวน” ของจีน หรือเงินสกุลอื่นใด โผล่เข้ามาเบียด มาช่วงชิงสถานะดังกล่าวแบบไหน อย่างไร และเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ แต่การหันมา “ละทิ้งเงินดอลลาร์” ได้กลายเป็น “แนวโน้มของโลก” (The Global De-Dollarization) ไปแล้วก็ว่าได้หรือเป็นอย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้สรุปไว้ในเวทีประชุม “SPIEF” เมื่อช่วงวันศุกร์ที่แล้วนั่นแหละว่า “การเปลี่ยนย้ายมาสู่การใช้เงินตราสกุลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ คือ...จุดเริ่มต้นแห่งจุดจบของเงินดอลลาร์” อะไรประมาณนั้น ด้วยเหตุนี้...ภายใต้ “ความเสื่อม” ของจักรวรรดิอเมริกาและของเงินดอลลาร์ ที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปนึกถึงข้อเขียน บทความ ของชาวอเมริกันเอง นั่นคือศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน “นายAlfred McCoy” ที่ได้เขียนไว้ชนิดแทบไม่ต่างไปจากคำทำนาย คำพยากรณ์ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว เรื่อง “How America will collapse (by 2025)” หรือว่าด้วยความล่มสลายของจักรวรรดิอเมริกาภายในอีก 2 ปีข้างหน้านับจากนี้ ด้วยการ “วาดฉากสถานการณ์ล่วงหน้า” เอาไว้ดังนี้...

“หลังจากช่วงเวลาแห่งการขยายตัวของการขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาลและการทำสงครามการเงินอย่างไม่หยุดหย่อนของธนาคารกลางสหรัฐฯ กับดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่งผลให้ช่วงปี ค.ศ. 2020 สกุลเงินดอลลาร์จะเข้าสู่จุดแห่งการสูญเสียสถานะพิเศษซึ่งเคยมีมาแต่เดิมในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก นับจากนั้น...มูลค่าการนำเข้าในสหรัฐฯ ก็จะพุ่งทะยานชนิดระเบิดเถิดเทิง ความไม่สามารถที่จะหาเงินมาโปะงบประมาณที่ขาดดุลท่วมท้นมาโดยตลอด ทำให้พันธบัตรสหรัฐฯ ทั่วทั้งโลกถูกลดค่าลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ ท้ายที่สุด...วอชิงตันย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหันมาเฉือนงบประมาณทางทหารอันใหญ่โต เทอะทะ มหึมาลงไปจนได้ ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจทั้งในบ้าน นอกบ้าน สหรัฐฯ จำต้องถอนทหารออกจากฐานทัพต่างๆ ซึ่งเคยถูกส่งไปประจำการทั่วทุกซีกโลกกลับมาอย่างช้าๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ความพยายามเช่นนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว!!! ในเมื่อมหาอำนาจสูงสุดของโลกแทบไม่มีปัญญากระทั่งหาเงินมาใช้จ่ายชำระหนี้สินตัวเอง (ที่พุ่งขึ้นไปถึง 32 ล้านล้านดอลลาร์ไปแล้วในทุกวันนี้) จีน อินเดีย อิหร่าน รัสเซีย ฯลฯ ตลอดไปจนบรรดาพี่เบิ้มรายต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ก็พร้อมแล้วที่จะลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจการครอบงำของสหรัฐฯ ซึ่งเคยมีมาแต่เดิม ไม่ว่าในดินแดนต่างๆ ในพื้นมหาสมุทร อวกาศ รวมทั้งในโลกไซเบอร์ ขณะเดียวกัน...ในช่วงระหว่างที่ภาวะเงินเฟ้อท่วมท้นและปัญหาว่างงานแพร่สะพัดไปทั่วประเทศ ความเสื่อมโทรมภายในนำมาซึ่งการโต้เถียง การปะทะ ขัดแย้ง อย่างรุนแรงระหว่างรัฐต่อรัฐ สายใยทางการเมืองซึ่งเคยเชื่อมโยงรัฐต่างๆ จะถูกตัดขาดลงไปพร้อมๆ กับความสิ้นหวังและการไม่ยอมรับมายาภาพแห่งความเป็นสหพันธรัฐอีกต่อไป พวกขวาจัดที่นิยมความรุนแรงจะลุกฮือขึ้นมารุมขย้ำ โจมตีศูนย์กลางอำนาจและความเป็นผู้นำสูงสุดแห่งรัฐอย่างเกรี้ยวกราดปานพายุบุแคม พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลกลางยอมรับความเป็นอิสระ เพื่อปลดปล่อยตัวเองออกไปจากความผูกพันทางการทหารและเศรษฐกิจ โดยที่โลกทั้งโลก...พร้อมที่จะจ้องมองความล่มสลายของจักรวรรดิอเมริกา ซึ่งกำลังก้าวไปสู่จุดจบ...อย่างเงียบงัน!!!” นี่...ฟังแล้ว เชื่อ-ไม่เชื่อ เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ ก็คงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน ว่าสุดท้ายแล้ว...ใครกันแน่ที่จะยืนระยะ จะคงความอึด เอาไว้ได้มาก-น้อยไปกว่ากัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น