ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงยังต้องเฝ้าติดตามการโจมตี-ตอบโต้ ของกองทัพและรัฐบาลยูเครนต่อฝ่ายรัสเซีย ว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถ “บรรลุเป้าหมาย” ทวงคืนดินแดนทั้ง 4 เขต 4 แคว้น รวมทั้งแหลมไครเมีย กลับคืนมาจากหมีขาวได้มาก-น้อย ขนาดไหน หรือไม่? และอย่างไร? อันเป็นสิ่งที่บรรดาพวก “ติ่งอเมริกา” และ “ติ่งอียู” คงต้องคอยเฝ้าลุ้น ชนิดเกร็งแล้ว เกร็งอีก ไม่น้อยไปกว่าการลุ้นให้คุณหลาน “พิธา” เป็นนายกฯ แบบประเภทพวก “ด้อมส้ม” บ้านเรานั่นแหละสหาย!!!
แต่ก็อย่างว่า...งานนี้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เรียกว่า...หนักซะยิ่งกว่าเรื่อง ITV เป็นสื่อ-ไม่เป็นสื่อ หรือเรื่อง 376 เสียงในรัฐสภาไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ยิ่งถ้าสิ่งที่รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย “พลเอกSergey Shoigu” ออกมาแถลงเมื่อวัน-สองวันมานี้ ไม่ถึงกับเป็นเรื่องจริงที่ต้องอิงนิยาย ก็ยิ่งน่าหนักอก-หนักใจยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือประมาณว่า...แค่เปิดฉากเริ่มต้นแห่งการโจมตีตอบโต้ บรรดาทหารยูเครนทั้งหลาย ก็ถึงกับต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 ราย บรรดารถถังที่พวกยุโรปจัดให้ พังพินาศเป็นเศษเหล็กไปแล้วไม่น้อยกว่า 100 คัน หรือออกไปทาง “เลือดนองท้องช้าง” แบบที่นายกรัฐมนตรีฮังการี “นายVictor Orban” ท่านได้เตือนๆ เอาไว้แล้วล่วงหน้านั่นแล...
โดยไม่ว่าจะเลือด เป็นเนื้อ ของฝ่ายใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมต้องถือเป็นเรื่องน่าเศร้า น่าเสียใจไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะความพยายามยุติสงครามด้วย “สงคราม” ไม่ใช่ด้วย “สันติภาพ” ของตัวตลก-ตัวแทน ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพราะการเลือกผิด-เลือกถูกของชาวยูเครนหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ เช่น “นายVolodymyr Zelensky” ที่พยายามกระโดด โลดเต้นไปตามแรงยุ แรงเชียร์ แรงกระพือฮือโหม เร่งฟืน เร่งไฟ ของคุณพ่ออเมริกาและชาติตะวันตก จึงนำมาซึ่ง “โศกนาฏกรรม” ที่น่าสลดหดหู่เป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งถ้าหากคำพูด คำจา ของอดีตผู้นำชาติยุโรปบางชาติ อย่างอดีตนายกรัฐมนตรี “Peter Pellegrini” แห่งประเทศสโลวัก และหัวหน้าพรรค “Voice-Social Democracy Party” ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Pravda” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เกิดมีเค้าโครงความจริงแม้แต่เพียงนิดๆ อันนี้...ก็น่าจะยิ่ง “ทิม-พิธา” หนักขึ้นไปใหญ่!!! นั่นก็คือ...การออกมาเปิดเผยว่า บรรดา “สต๊อกอาวุธ” ของบรรดาประเทศยุโรปทั่วทั้งหมด กำลัง “บ๋อๆ แบ๋ๆ” โดยอาจต้องใช้เวลาอีกประมาณ 5-10 ปี ถึงจะสามารถกลับมาเติมเต็มได้ดังเดิม...
ความพยายามโจมตีตอบโต้เพื่อให้ “เข้าตากรรมการ” ของกองทัพยูเครนคราวนี้...จึงไม่เพียงแต่เป็นอะไรที่น่าเศร้าน่าสลดใจสำหรับบรรดาลูกหลานชาวสลาฟด้วยกันเองเท่านั้น แต่กระทั่ง “ผู้อยู่เบื้องหลัง” ผู้พยายามยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดการไล่ล่า ฆ่าฟัน จนเผลอๆ...อาจไม่หลงเหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” เอาเลยก็เป็นได้ อย่างผู้นำอเมริกา ประธานาธิบดี “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ เจ้าเล่ห์” ก็แล้วแต่จะเรียก ถ้าว่ากันตามข้อวิเคราะห์ การอ่านเกมของสำนักข่าว “Politico” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาผลสรุปของการโจมตีตอบโต้ของกองทัพยูเครนคราวนี้ ยังมีส่วนชี้เป็น-ชี้ตายต่อ “อนาคตทางการเมือง” ของผู้นำอเมริกาอย่างมิอาจแยกขาดออกจากกันได้เลย โดยเฉพาะโอกาสการเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันในปีหน้า แนวโน้มที่คุณปู่ “โจ ซึมเซา” อาจต้อง “แพ้...ตั้งแต่ในมุ้ง” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ถ้าหากกองทัพยูเครนยังคงยึดหมู่บ้านได้แค่ประมาณ 2-3 หมู่บ้าน ดังที่เป็นข่าวอยู่ในทุกวันนี้...
คือต้องเรียกว่า...หนักซะยิ่งกว่าครั้งที่กองทัพอเมริกันต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ เผ่นออกจากประเทศอัฟกานิสถานไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เนื่องจากการคิดใช้ตัวตลก-ตัวแทนอย่างยูเครนเป็นเครื่องมือเพื่อบั่นทอน ทำลาย มหาอำนาจคู่แข่งรัสเซียคราวนี้ ต้องเล่นกันระดับ “แทบหมดหน้าตัก” หรืออย่างที่ “นายSeymour Hersh” นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ สรุปเอาไว้ระหว่างการให้สัมภาษณ์ “นายGeorge Galloway” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (11มิ.ย.) นั่นแหละว่า คนอเมริกันนั้นเริ่ม “ไม่เอาด้วย” กับการช่วยเหลือ สนับสนุนยูเครน อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที หรือ... “เราจ่ายเงินไปแล้วกว่า 140,000 ล้านดอลลาร์จนถึงทุกวันนี้ ขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันไม่ต่ำกว่า 15 ล้านคน ยังถูกทอดทิ้งไม่มีโอกาสได้เข้าถึงระบบประกันสุขภาพใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย” ความพ่ายแพ้ หรือการไม่อาจ “บรรลุเป้าหมาย” ในการโจมตีตอบโต้ของกองทัพยูเครน จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากความพ่ายแพ้ของผู้นำอเมริกา รวมทั้งพวก “พรมเช็ดเท้า” ทั้งหลาย อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย...
แต่อันที่จริง...ก็ไม่ใช่แต่เฉพาะบรรดาอเมริกันชนเท่านั้น ที่เริ่ม “ไม่เอาด้วย” กับรัฐบาลอเมริกัน โดยความคิด ความเห็น ของนักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์รายนี้ ยังเห็นว่าแม้กระทั่ง “ประชากรส่วนใหญ่ของโลก” ยังออกอาการไม่คิดจะเอาด้วยกับอเมริกาอย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเป็นชาวแอฟริกา เอเชียกลาง เอเชียใต้ ที่กำลังเปลี่ยนท่าทีจากการ “โปรอเมริกา” หันไป “โปรรัสเซีย” กันแทนที่ จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน แต่อย่างที่เคยหยิบยกเอา “ตรรกะ” ของคอลัมนิสต์แห่งเว็บไซต์ “Zero Hedge” มาแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างไปแล้วนั่นแหละ ที่แม้จะมีประเทศต่างๆ กว่า 140 ประเทศร่วม “ประณามรัสเซีย” ในที่ประชุมสหประชาชาชาติ แต่มีเพียงแค่ 30 ประเทศเท่านั้น ที่พร้อมรุมเหยียบ รุมกระทืบ พร้อม “แซงชั่นรัสเซีย” ขณะที่อีก 110 ประเทศ กลับหันไปค้าๆ-ขายๆ หันไปเป็นมิตรกับประเทศรัสเซีย จนเกิดการร่วมไม้ ร่วมมือ เกิดการขยายธุรกิจ การค้า การลงทุน ในเวทีประชุมระหว่างประเทศเวทีแล้ว เวทีเล่า...
อย่างเมื่อวัน-สองวันนี้...รัฐมนตรีคลังรัสเซียและโอมาน ก็เพิ่งลงนามเซ็นสัญญาความร่วมมือยกเลิกภาษีซ้ำซ้อนระหว่างกันและกัน พร้อมทั้งประกาศถึงการขยายตัวทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศ ที่เพิ่มขึ้นถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี ค.ศ. 2022 หรือในช่วงที่รัสเซียตัดสินใจบุกยูเครนไปแล้วนั่นแหละ ไม่ต่างไปจากพี่เบิ้มใหญ่แห่งกลุ่มประเทศอ่าวในตะวันออกกลางอย่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ที่ไม่เพียงแต่หันไปร่วมไม้ ร่วมมือ ลดปริมาณการผลิตน้ำมันตามความเห็นพ้องต้องกันระหว่างรัสเซียกับกลุ่มประเทศ “OPEC” โดยไม่ได้สนใจคำขอร้อง วิงวอน ของคุณพ่ออเมริกาเอาเลยแม้แต่น้อย แต่ยังพร้อมที่จะยกระดับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ไปถึงขั้น “การร่วมมือด้านความมั่นคง” อีกซะด้วย ชนิดถือเป็นความร่วมมือระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ 2 ประเทศ เท่าที่เคยมีมา...
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ไม่ใช่แต่เฉพาะมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียเท่านั้น แต่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน ผู้ถือเป็นพันธมิตรแบบไร้ขีดจำกัดของรัสเซีย ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปใหญ่ ภาพของความร่วมมือในงานประชุม “China-Arab States Summit” ที่กรุงริยาด เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (9 มิ.ย.) ต้องเรียกว่า...เป็นอะไรที่คึกคักโครมครามเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบรรดานักธุรกิจและเจ้าหน้าที่จีน-อาหรับกว่า 3,000 คนที่เข้าร่วมประชุม จับกลุ่มเซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนการลงทุนไม่ว่าในด้านเทคโนโลยี การเกษตร อสังหาริมทรัพย์ เหมืองแร่ ท่องเที่ยว ธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน สุขภาพ ฯลฯ เป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ และแม้ว่าจะถูกตั้งคำถามต่อหน้า-ต่อตารัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกัน “นายAntony Blinken” ขณะเดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียในช่วงนั้น ถึงการ “เลือกข้าง” ระหว่างจีนกับอเมริกา แต่รัฐมนตรีพลังงานซาอุฯ “เจ้าชายAbdulaziz bin Salman” รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ “เจ้าชายFaisal bin Farhan Al Saud” ต่างสรุปเป็นเสียงเดียวกัน ว่าซาอุฯ นั้น “ไม่สน” กับคำถาม หรือการตั้งข้อสังเกตเหล่านี้ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ กับจีนนั้น ไม่ใช่ “Zero-sum game” ใดๆ ทั้งสิ้น หรือไม่ได้คิดจะสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง แต่ “ในฐานะนักธุรกิจคุณต้องพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่โอกาส” และเพราะ “จีนคือหุ้นส่วนการค้าที่ใหญ่ที่สุดของเรา ดังนั้น...จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะต้องมีปฏิสัมพันธ์หรือปฏิกิริยาระหว่างกันและกัน และโดยความร่วมมือที่ดูเหมือนจะโตขึ้นๆ เพราะผลกระทบของเศรษฐกิจจีนในภูมิภาคนี้นับวันจะเติบโตยิ่งเข้าไปทุกที...”
ไม่ต่างไปจากบรรยากาศในเวทีประชุม “Shangri-La Dialogue” ที่สิงคโปร์เมื่อไม่กี่วันมานี้นั่นแหละ ที่นักเขียนและนักประวัติศาสตร์อเมริกัน อย่าง “นายJames Bradley” สรุปเอาไว้น่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ว่าเหตุที่บรรดาประเทศต่างๆ ในเอเชียไม่คิดจะเอาด้วยกับอเมริกาแต่หันไปเอากับจีนซะมากกว่า ก็เนื่องมาจาก “China is building bridges while America builds base” หรือขณะที่จีนพยายามสร้างสันติภาพ สร้างสะพานเชื่อม อเมริกากลับหันไปสร้างฐานทัพตามแบบฉบับ “จักรวรรดิที่กำลังถึงจุดเสื่อม” ทั้งหลายนั่นเอง ความพ่ายแพ้ในการโจมตีตอบโต้ของยูเครน จึงไม่เพียงแต่ถือเป็นความพ่ายแพ้ของคุณปู่ “โจ ไบเดน” ควบคู่ไปด้วยเท่านั้น แต่ยังอาจถือเป็นความพ่ายแพ้ของ “จักรวรรดินิยมอเมริกา” ทั่วทั้งประเทศเอาเลยก็ว่าได้...