ปฏิบัติการเชิงรุกของกองทัพยูเครน เปิดฉากโจมตีแนวรบของรัสเซียหลายจุด หวังสร้างความประหลาดใจให้รัสเซีย แต่ประสบกับความสูญเสียหนัก ช่วงเวลาจากวันอาทิตย์ที่ 4 ถึงวันอังคารที่ 6 มีความเสียหายต่อเขื่อนใหญ่ในพื้นที่ซาปอริชเชียด้วย
รายงานของกระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ชี้ให้เห็นความล้มเหลวการโจมตีของกองทัพยูเครน ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้นำยูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ อ้างว่ายังไม่ได้กำหนดเวลา และไม่รู้ว่าจะกินพื้นที่กว้างแค่ไหน แต่คาดว่าจะสูญเสียทหารมาก
การโจมตีเขื่อน ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใด เป็นการทำลายระบบสาธารณูปโภคที่สำคัญ ยากต่อการซ่อมแซม ขณะที่การสู้รับยังติดพันกันอยู่โดยไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
เขื่อนแตกทำให้น้ำจากเขื่อนกั้นแม่น้ำดนีโปร ซึ่งมีความสูง 30 เมตร ยาว 3.2 กิโลเมตร ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1956 และเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟกากั้นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เป็นแหล่งน้ำสำหรับประชาชนบนคาบสมุทรไครเมีย
ที่สำคัญ ยังเป็นส่วนของระบบหล่อเย็น ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ซาปอริชเชียซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารรัสเซีย ฝ่ายยูเครนอ้างว่าฝ่ายรัสเซียทำลายเขื่อนซึ่งฟังดูไม่มีเหตุผลเพราะรัสเซียไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งก่อสร้างในพื้นที่ตัวเอง
ผลของการสู้รบ 3 วันมีความแตกต่างกัน สื่อกระแสหลักตะวันตกอ้างว่ารัสเซียได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกองทัพยูเครน แต่ไม่มีรายละเอียด
พลโทอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่าการโจมตีของกองทัพยูเครนโดนตีโต้โดยสารพัดอาวุธ เช่น ขีปนาวุธ ปืนใหญ่ จรวดหลายลำกล้อง และเครื่องพ่นไฟ ทำให้กองทัพยูเครนต้องถอยร่นจากแนวปะทะ
ฝ่ายยูเครนสูญเสียทหาร 1,500 นาย รถถัง 28 คัน รวมทั้งรถถัง Leopard ของเยอรมนี และยานรบติดล้อแบบเบา AMX-100 ของฝรั่งเศส ยานเกราะช่วยรบ 109 คัน ตัวเลขนี้ยังไม่แน่นอนว่ารวมกับความสูญเสียของยูเครนในวันอาทิตย์หรือไม่
เฉพาะวันอาทิตย์ โฆษกรัสเซียอ้างว่ายูเครนเสียทหาร 250 นาย รถถัง 16 คัน ยานช่วยรบสำหรับทหารราบ 3 คัน และยานเกราะอีก 21 คัน
ภาพวิดีโอปรากฏโดยสื่อ Telegram แสดงให้เห็นภาพรถถัง AMX-100 ของฝรั่งเศสถูกทิ้งคาสมรภูมิ ไม่มีภาพว่ามีรถถังเยอรมนีอยู่ด้วยหรือไม่
ยังมีภาพความเสียหายของอุปกรณ์สงครามส่งมาจากกลุ่มประเทศตะวันตก แต่ถูกทำลายโดยกองทัพรัสเซีย รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครน Anna Maliar อ้างว่าฝ่ายกองทัพรัสเซียได้รับความเสียหายหนักจากการรุกโจมตีของรัสเซีย
ประธานคณะกรรมาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ พลเอกMark Milley แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่ากองทัพยูเครนอยู่ในสภาวะเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการโจมตีชิงพื้นที่คืนจากการยึดครองของรัสเซีย ก่อนการสู้รบที่เริ่มในวันอาทิตย์
รัสเซียยังอ้างว่าได้ยิงเครื่องบิน SU25 ของยูเครนตก 1 ลำ จากที่บินอยู่ 2 ลำขณะที่โจมตีที่ตั้งของทหารรัสเซีย แต่ยังไม่มีการยืนยันโดยสื่อหลักฝ่ายตะวันตก
จากสภาพที่เป็นอยู่ ยูเครนเป็นสมรภูมิ จึงประสบความเสียหายอย่างหนัก ทั้งระบบสาธารณูปโภค อาวุธยุทโธปกรณ์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพอากาศแทบไม่เหลือเครื่องบิน ฝ่ายรัสเซียสามารถคุมน่านฟ้ายูเครนได้ทั่ว
การส่งอาวุธช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และนาโตโดยทางถนน รถไฟ ถูกรัสเซียทำลาย รวมทั้งคลังแสง โรงงานผลิตอาวุธและยานรบต่างๆ ต้องพึ่งฝ่ายตะวันตกเท่านั้น
การสู้รบทำให้จำนวนประชากรยูเครนลดลง สร้างความกังวลว่าจะสิ้นความเป็นประเทศ การสำรวจโดยสถาบันเพื่ออนาคตยูเครนระบุว่ามีประชากรในประเทศเพียง 29 ล้านคน ลดลงจาก 52 ล้านคนในปี 1991 เมื่อเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต
ชาวยูเครนได้อพยพออกนอกประเทศ และมีอัตราสูงหลังจากสงครามในเดือนกุมภาพันธ์ในปีที่ผ่านมา มีเพียงครึ่งหนึ่งของ 20.7 ล้านคนได้หวนคืนกลับประเทศ ดังนั้นตัวเลขของผู้อพยพออกจากประเทศอย่างถาวรสูงถึง 8.6 ล้านคน
รายงานแจ้งว่าประชากรที่มีอยู่สามารถสร้างผลผลิตได้มีเพียง 9 ล้านคนและ 6 ล้านคนในจำนวนนั้นสามารถก่อให้เกิดรายได้ในภาคเอกชน ส่วนประชากรที่เหลือต้องพึ่งพาความช่วยเหลือด้านสวัสดิการของรัฐบาล
อัตราการเกิดของคนยูเครนต่ำกว่าอัตราการเสียชีวิต ซึ่งในอีกไม่กี่ปีจากนี้ จำนวนคนเกิดจะน้อยกว่าคนที่เกษียณอายุ ทำให้จำนวนคนทำงานมีน้อยลง ถึงขั้นที่จะไม่สามารถสร้างรายได้ประชาชาติ เว้นแต่จะมีการเปลี่ยนแปลง
การสำรวจยังไม่รวมคนหนุ่มสาวที่เสียชีวิตจากสงคราม ไม่มีตัวเลขว่ากี่แสนคน แต่การที่กองทัพยูเครนต้องไปฉกตัวนักศึกษาหรือชายวัยกลางคนจากร้านอาหาร หรือที่เดินบนถนนสะท้อนให้เห็นความขาดแคลนในกำลังพลรบ เพราะยอดการตายสูง
มีการประเมินว่ากองทัพยูเครนเสียทหารระหว่าง 2-2.5 แสนคนจากการสู้รบนานกว่า 16 เดือน ประชากรที่เหลือจึงไม่สามารถสร้างผลผลิตในการฟื้นฟูประเทศ
และยังไม่รู้ว่าจากนี้ไปยูเครนจะต้องสูญเสียประชากรในวัยหนุ่มสาวอีกมากเท่าไหร่ นอกจากความพินาศย่อยยับของเมืองต่างๆ เกือบทั่วประเทศ
การทุจริต คอร์รัปชันทำให้ยูเครนเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในยุโรปในด้านความไม่โปร่งใสในการบริหาร นักการเมืองมุ่งแต่อำนาจ นักธุรกิจมุ่งแต่ความมั่งคั่ง ชิงทรัพยากรของประเทศโดยประชาชนถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสภาพชีวิตต่ำกว่ามาตรฐาน
อนาคตของยูเครนมืดมน สภาวะสิ้นชาติเป็นไปได้สูง ถ้าสงครามยังไม่จบ