xs
xsm
sm
md
lg

หอมกลิ่นความเจริญกำลังลอยมา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ขอแสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่ได้รับเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 จำนวน 152 เสียงอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าพรรคก้าวไกลจะเอาชนะพรรคเพื่อไทยของทักษิณได้

แต่แม้จำนวน 152 จะไม่ใช่ตัวเลขที่มากอะไรหลายพรรคเคยทำได้มากกว่านี้มาในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย และกระทั่งพรรคประชาธิปัตย์ แต่ 152 เสียงของพรรคก้าวไกลครั้งนี้ถูกกระแสของโซเชียลและคนที่กำลังปลุกปั่นทำให้ดูเหมือนราวกับเป็นมติของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นปรากฏการณ์ของประเทศ ทั้งที่เป็นที่นั่งไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวน 500 ที่นั่ง

“มีเราไม่มีลุง” นั้นกลายเป็นอานุภาพที่สูงในการนำพรรคก้าวไกลให้ประสบความสำเร็จเกินคาดหมาย เพราะสังคมไทยเบื่อรัฐบาลลุงและต้องการการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกขั้ว เชื่อว่าหากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วางมือไม่ลงแข่งขันก็จะไม่เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นมา ฝ่ายอนุรักษนิยมหลายคนสวิงข้ามขั้วมาเลือกพรรคก้าวไกล คนที่เคยลงให้พรรคเพื่อไทยจำนวนมากเปลี่ยนใจมาลงพรรคก้าวไกล เพราะกลัวว่าไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล

แน่นอนว่าโดยหลักการแล้วพรรคก้าวไกลจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน นั่นคือต้องรวบรวมเสียงให้ได้ 376 เสียงไม่ว่าจะมาจากมือ ส.ส.หรือ ส.ว.ที่รัฐธรรมนูญซึ่งผ่านประชามติจำนวน 15 ล้านคนใกล้เคียงกับที่พรรคก้าวไกลได้ในครั้งนี้ให้ใช้เสียงในรัฐสภาเป็นคนโหวต หากพรรคก้าวไกลรวบรวมเสียงไม่ได้ก็เปิดโอกาสให้พรรคอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลนี่เป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

แต่ปรากฏว่ามีความพยายามที่จะใช้กระแสในโซเชียลมีเดียที่นำโดยนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล ออกมาปลุกปั่นให้ ส.ว.ทุกคนต้องยกมือให้พรรคก้าวไกล ทั้งที่เขาอาจจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะที่ส่งผลต่อการลิดรอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นเขามีความชอบธรรมที่จะยกมือให้หรือไม่ก็ได้

รวมทั้งยังมีเสียงกดดันเรียกร้องให้ทุกพรรคแม้จะไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลยกมือให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งไม่เคยมีหลักการนี้มาก่อนตั้งแต่เปลี่ยนการปกครองมาในระบอบประชาธิปไตยปี 2475 หรือแม้กระทั่งครั้งที่แล้วพรรคพลังประชารัฐสามารถรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้พรรคที่เป็นเสียงข้างน้อยก็ยังส่งธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาโหวตแข่งกับพล.อ.ประยุทธ์ แล้วต่างฝ่ายต่างโหวตให้ฝ่ายตัวเอง

พวกเขาไม่เคารพหลักการของระบอบประชาธิปไตยว่า หากจะให้ร่วมหรือสนับสนุนรัฐบาลก้าวไกลนั้น ผู้นั้นต้องเห็นด้วยกับแนวทางและนโยบายของพรรคก้าวไกล ไม่ใช่การบังคับให้ทุกฝ่ายยอมจำนนเพราะพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 1

อย่างไรก็ตาม ผมเอาใจช่วยให้พรรคก้าวไกลรวบรวมเสียงให้ได้ 376 เสียงนะครับ เพราะอยากดูว่าเมื่อพรรคนี้เป็นแกนนำรัฐบาลแล้วจะนำพาประเทศชาติไปอย่างไร นโยบายสุดโต่งหลายๆ ด้านของพวกเขาจะทำได้สำเร็จไหม พวกเขาจะลงมือทำได้เหมือนกับการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ในสภาฯ ไหม

อยากเห็นว่าคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ของพรรคก้าวไกลไหม พิธาเคยบอกว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้ล้มเจ้า แต่ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและอยู่เหนือการเมือง แต่ที่เราทราบก็คือพระมหากษัตริย์ถูกทำให้อยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2475 แล้วอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำให้พระมหากษัตริย์ดำรงสถานะตามที่พวกเขาต้องการอย่างไร

เข้าใจนะครับว่าที่พวกเขาบอกว่าต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมืองนั้น ข้อเรียกร้องของพวกเขาคือ พระมหากษัตริย์ต้องไม่มีโครงการพระราชดำริ ห้ามมีพระราชดำรัสกับประชาชน ห้ามรับเงินโดยเสด็จพระราชกุศลจากประชาชน ต้องสาบานตนต่อรัฐสภา ฯลฯ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ปิยบุตร แสงกนกกุล และแนวร่วมของพวกเขาออกมาเรียกร้องและศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

อยากเห็นว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเห็นด้วยกับนโยบายยกเลิกมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายปกป้องประมุขของรัฐไหม หรืออยากเห็นว่าถ้าเขาไม่สามารถยกเลิกมาตรา 112 ได้เขาจะแก้ไขมาตรา 112 ไปอย่างไร จะให้สำนักพระราชวังเป็นผู้กล่าวโทษคนที่ดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และจะมีเด็กๆออกมากระทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามทุกวันไหม และสำนักพระราชวังต้องเดินขึ้นโรงพักหรือฟ้องร้องต่อศาลทุกวันแล้วจะกล่าวหาว่าพระมหากษัตริย์ขัดแย้งกับประชาชนไหม

อยากเห็นว่าสังคมไทยจะยอมรับได้ไหม ถ้าพวกเขาแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์เพื่อไปสู่เป้าหมายการปฏิรูป แก้พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ หรือเข้าไปเปลี่ยนแปลงราชการส่วนพระองค์ รวมถึงการเข้าไปควบคุมงบประมาณของสำนักงานส่วนพระมหากษัตริย์

อยากเห็นพวกเขาปฏิรูปกองทัพ ให้กองทัพอยู่ใต้พลเรือน ยกเลิกสภากลาโหม ยกเลิกศาลทหาร ตั้งผู้ตรวจการกองทัพ ลดจำนวนนายพล ลดกำลังทหารลง 30-40% ปัจจุบันกองทัพมียอดประจำการประมาณ 3 แสนนายจะลดเหลือเพียง 1.8 – 2.1 แสนคน ที่สำคัญอยากเห็นพิธา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตามที่เขาประกาศไว้แล้วจะทำอย่างไรถ้ามีสงคราม เหมือนที่เขาพูดว่าสงครามสมัยนี้ใช้เรือประมงรบกันไหม

อยากเห็นไทยเข้าสู่รัฐสวัสดิการเต็มขั้น อยากเห็นค่าแรงขั้นต่ำปรับเพิ่มเป็น 450 บาททันทีที่พิธาได้เป็นนายกฯ และเพิ่มทุกปี อยากเห็นคนสูงอายุได้เงินเดือนละ 3,000 บาท เงินเด็กเล็กได้เดือนละ 1,200 บาท ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท อยากเห็นคนเจ็บป่วยได้เงินชดเชยและได้ค่าเดินทางหาหมอ อยากเห็นคนตายได้เงิน 10,000 บาทอยากเห็นพวกเขาหาเงินอย่างไรมาจุนเจือรัฐสวัสดิการ

อยากเห็นว่าพวกเขาวางบทบาทประเทศไทยในภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างไร จะเพิ่มความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกาและลดความสัมพันธ์กับประเทศจีนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยไหม พวกเขาจะสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงไหม พวกเขาจะสนับสนุนความเป็นอิสระของไต้หวันและเพิ่มความสัมพันธ์ทางการทูตไหม พวกเขาจะสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าและสนับสนุนโรฮิงญาจนขัดแย้งกับรัฐบาลพม่าไหม

อยากเห็นว่านโยบายสุดโต่งของพรรคก้าวไกลจะสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไทยได้อย่างไร นโยบายเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อลิดรอนบทบาทและสถานะนั้น จะเกิดความขัดแย้งกับคนในชาติที่มีความจงรักภักดีและศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จนกลายเป็นวิกฤตในชาติแบบที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบคอมมิวนิสต์ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ไหม

แน่นอนว่า คนรุ่นใหม่คืออนาคตของชาติ เวลาในอนาคตของพวกเขาย่อมยาวนานกว่าคนรุ่นเก่า แม้คนรุ่นเก่าบอกว่าเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนเพียงเพื่อบอกว่าเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมาก่อน แต่พวกเขาโต้แย้งว่าเด็กรุ่นหลังอยากจะอาบน้ำเย็นก็ได้ ก็ต้องปล่อยให้พวกเขานำพาประเทศอย่างที่พวกเขาอยากให้เป็นไป

ผมเอาใจช่วยและยินดีกับความลิงโลดในชัยชนะของคนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลราวกับกลิ่นของความเจริญกำลังลอยมา และจะรอดูพรรคก้าวไกลนำพาประเทศหากจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น