สมการการเมือง
แบ่งเขตเลือกตั้งอลวนภาค 2 ครั้งก่อนเมื่อตอนปี 2562 ว่าพิลึกพิลั่น มาเวอร์ชั่นปี 2566 พิลึกกึกกือกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองกรุง จากส.ส.เขต กลายเป็น ส.ส.แขวง กันเพียบ
มันพอจับอาการแบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ฉบับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ต้องบอก ก็สามารถรับรู้ว่า ใครจะได้เปรียบ เสียเปรียบ
โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ในเขตที่ตัวเองฐานเสียงแน่น เจอตัดเขต แบ่งแขวง มั่วไปหมด ลุ้นชนะยังได้อยู่ แต่ลุ้นให้ชนะขาดเหมือนเดิมคงยาก
แน่นอนว่า มันตรงเป้าประสงค์ของคนที่ไม่ต้องการให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ อะไรตัดแขนตัดขาได้ทำหมด ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องน้อย ล่อกันทุกเม็ด เก็บกันทุกดอก แต่ไม่แปลกเพราะมีอำนาจจะทำอะไรก็ได้
ใครไม่พอใจให้ไปยื่นร้องเรียน ถ้ามั่นใจว่ามีพละกำลังมากพอ คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่โปรดรู้ไว้ว่า ใครคุม
แล้วระวังให้ดี ยื่นสุ่มสี่สุ่มห้าระวังจะเข้าทางปืน เพราะข่าวลือการล้มเลือกตั้งมันดังมานาน หากรักษาอำนาจไม่ได้ อาจไปถึงจุดล้มกระดานกันเลย
กับดัก ระเบิดเลือกตั้งรอบนี้ต้องบอกว่ามีเพียบ ตั้งแต่บัตรเลือกตั้งสองใบ แม้จะผ่านด่านศาลรัฐธรรมนูญมาได้ จนบังคับใช้อยู่ทุกวัน แต่ต้องไม่ลืมว่า กฎหมายแม่อย่างรัฐธรรมนูญ ยังเขียนเรื่องส.ส.พึงมีเอาไว้อยู่ติ่งหนึ่ง ทุกวันนี้ยังหาคำตอบกันไม่ได้ กกต.จะคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อกันอย่างไร ในระบบบัตรเลือกตั้งสองใบเวอร์ชั่นส.ส.พึงมี
แม้แต่เรื่องการคำนวณประชากรเพื่อแบ่งเขตเลือกตั้ง ทุกยุคทุกสมัยให้นับรวมแรงงานต่างด้าวด้วย แต่รอบนี้คำวินิจฉัยออกมาว่า ไม่ต้องนับ จนกกต.ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ หน้าตาพิลึกอย่างที่เราเห็น
แล้วมาเจอช็อตล่าสุด เขตเลือกตั้งส.ส.ในกทม. ที่แยกแขวงกันระนาว จนชาวบ้านยังเกาหัว อยู่ๆกลายเป็นประชากรของอีกเขตเลือกตั้งไปเสียอย่างนั้น
มีคนตั้งข้อสังเกตเหมือนกัน หากจับพลัดจับผลู พรรคเพื่อไทยชนะแบบแลนด์สไลด์ แล้วอีกฝ่ายต้องเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน ให้ระวังหลุมระเบิดเรื่องเลือกตั้งโมฆะให้ดี เพราะคงไม่ยอมให้พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเสวยสุข
แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่คาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าตามสถานการณ์ ณ ปัจจุบันกันก่อน โดยเฉพาะพรรคร่วมปัจจุบันอย่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ที่เคลื่อนไหวชุกชุมช่วงนี้
ล่าสุด “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงทุนเปิดมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ฐานบัญชาการใหญ่ เลี้ยงอาหารกลางวันแก๊งภูมิใจไทยระดับคีย์แมน ทั้ง “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
มื้อนี้ไม่ได้นึกจะชวนก็ชวน แต่เป็นการชวนให้หลังวาระโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่พรรคภูมิใจไทยนำเสนอ โดยมีพรรคพลังประชารัฐแอบเชียร์ ถูก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ทุบโต๊ะถอนวาระทิ้ง จนเป็นหมันในรัฐบาลชุดนี้เรียบร้อย
เป็นคิวปั่น ส่งสัญญาณไปถึงแนวร่วมที่ออกโรงค้าน ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา หรือแม้แต่ตัว “บิ๊กตู่” เองที่ใจเอนเอียงไปทางให้ถอนวาระทิ้ง
ส่งสัญญาณไปถึงผู้มีอำนาจดังๆ ให้เห็นหัวกันบ้าง หลังข่มเหงน้ำใจกันต่อเนื่อง โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ถูก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ตามรังควาน และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ “ศักดิ์สยาม” หยุดปฏิบัติหน้าที่ เรื่อยมาถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ต้องระทมดันไม่สำเร็จในยุคนี้ ยังไม่นับรวม พ.ร.บ.กัญชง กัญชา ที่ค้างเติ่งอยู่สภา เพราะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน
มันเป็นคิวชอกช้ำระกำทรวง เลยต้องส่งสัญญาณตอบโต้
แล้วในอีกบริบทเดียวกัน ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน คนในองคาพยพถูกต้อนทั้งเกมบนดินและใต้ดิน
ที่สำคัญ เป็น 2 พรรคที่น่าจะแคล้วคลาดปลอดภัย เพราะร่วมทำงานกับรัฐบาลมา 4 ปี แต่วันนี้ต้องมาตกอยู่ในสถานะถูกล็อกเป้า แทนที่จะไปล็อกฝ่ายตรงข้าม
พรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม” พี่สุดที่เลิฟของ “บิ๊กตู่” กลายมาเป็นตัวเต็งที่จะถูกยุบพรรค จากกรณีเงินบริจาค และอีกหลายเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กกต.
กระแสข่าวนี้ออกมาในช่วงที่ว่า “บิ๊กป้อม” จะพาพรรคพลังประชารัฐ ชิ่งไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย ปล่อยให้ “บิ๊กตู่” เก็บของกลับบ้าน
เลยต้องปล่อยข่าวขู่ ถ้ากล้าทิ้งให้ลองดู อย่าคิดว่าไม่กล้า
พอๆกับพรรคภูมิใจไทย อีกหนึ่งตัวแปรที่สามารถย้ายไปได้ทุกขั้ว ไม่ว่าสุดท้ายผลการเลือกตั้งใครจะชนะ แบบว่าได้หมดถ้าสดชื่น คิวที่ถูก ชูวิทย์ ราวี โดนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นปฏิบัติการล็อกแข้งล็อกขา ไม่ให้เทกันตอนเลือกตั้งจบ
โดยเฉพาะกรณีของ ศักดิ์สยาม ดีเอ็นเอชิดชอบ ที่อย่างไรเสียพี่ชายอย่าง เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ยอมให้น้องชายเป็นอะไรในทางการเมืองแน่ คิวนี้ว่ากันว่า ที่ถูกลากขึ้นเขียง เพราะต้องการติดกำไลอีเอ็มกันไว้แต่เนิ่นๆ
แทนที่จะไปยุบพรรคเพื่อไทย และอีกขั้ว แต่เลือกจับ 2 พรรคพันธมิตรเป็นตัวประกัน ถ้ากล้าทิ้งจะตายกันทั้งหมด
อย่างน้อยล่ามเอาไว้ เพราะรู้ว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่มี 2 พรรคนี้ก็ยากจะจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
เป็นคิวคนกันเองล่อกันเองแล้ว
