เมืองไทย 360 องศา
ชัดยิ่งกว่าชัดกับความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของพรรคร่วมรัฐบาลหลัก ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อทำข้อตกลงตั้งรัฐบาลอีกครั้งหลังการเลือกตั้ง แต่นาทีนี้ยังเป็นลักษณะของการจับมือกัน “หลวมๆ” ซึ่งต้องมาว่ากันหลังจากทราบผลการเลือกตั้งว่าใครจะได้เสียงจำนวนกี่ที่นั่ง แล้วใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเชื่อว่าสำหรับ “สองป.” คือ ป.ประยุทธ์ และ ป.ประวิตร น่าจะมีเงื่อนไขเรื่องจำนวน ส.ว.จำนวน 250 ที่นั่ง มาพิจารณาร่วมกันด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท ) พร้อมแกนนำไปร่วมรับประทานอาหารกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) อีกครั้ง หลังจากที่นายอนุทิน ได้ไปพบกับพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน
โดยพล.อ.ประยุทธ์ ย้อนถามว่า แล้วเป็นอย่างไรล่ะ เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่ามีการพูดถึงเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มันไม่ใช่เวลาอะไรในตอนนี้ มันยังไม่ได้เลือกตั้งเลย
เมื่อถามว่า ที่มีการระบุว่าต้องให้เฉพาะพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร เท่านั้น พรรคได้อันดับ 1 ก็จะให้เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ถ้าท่านพูดอย่างนั้น ก็อย่างนั้น แต่เราต้องดูวันหน้าก็แล้วกัน"
พอถามว่าเห็นว่าได้มีการพูดกับพล.อ.ประวิตร แล้วจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็คุยกันว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบและปลอดภัย แต่ก็ต้องดูที่ผลการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง ก็พูดแค่นั้น อย่าไปตีความกันเอาเองนะจ๊ะ
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบคำถาม และให้ไปถามกับบรรดาแกนนำพรรคแทน อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยมาพูดกัน ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ถึงเวลาก็ให้มีการเลือกตั้งก่อนสิ ถ้ามันพูดตอนนี้แล้วมันจะได้อย่างไร ก็ยังไม่รู้ว่าใครจะได้มากได้น้อย ยังไม่รู้เลยตามกลไกของการเลือกตั้ง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สำคัญในอนาคต
ผู้สื่อข่าวถามว่า แค่ภาพกินข้าวแค่นี้ ไม่หวั่นใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ปัดโธ่ ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องหวั่นเวลาที่เขาไปกินข้าวกินน้ำ กินอะไรต่างๆ แล้วผมจะไปหวั่นอะไรล่ะ" ก่อนจะเอามือทุบไปที่หน้าอกด้านซ้าย พร้อมกล่าวอีกว่า "ผมเจอยิ่งกว่านี้มาแล้ว ยืนยันว่า วันนี้ไม่มีฝั่งอะไร ยังไม่มีฝั่งอะไรทั้งนั้น"
เมื่อถามย้ำว่า ในส่วนของ 2 ลุง พรรคไหนได้เสียงอันดับ 1 พรรคนั้นได้เป็นนายกรัฐมนตรี ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องเป็นเรื่องการพิจารณาร่วมกันสิ
ถามว่ามองหรือไม่ว่าภาพอะไรที่จะออกมาในขณะนี้ ทั้งภาพการรับประทานอาหารร่วมกัน แค่เกมอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่บรรยากาศหลังการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ หัวเราะพร้อมกล่าวว่า "ก็เขาไปกินข้าว และก่อนนายอนุทินไปกินข้าว ท่านก็มาหาผม มาอวยพรวันเกิดให้ผม ก็เป็นเรื่องของท่าน ก็ยินดีที่มาอวยพรให้และนึกถึงผม ก็ว่ากันไป แต่หลังจากที่อวยพรผมแล้วจะไปกินข้าวที่ไหน ก็ไปเลย ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลหน้า พรรครวมไทยสร้างชาติจะไม่โดนทิ้ง ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมไม่กลัวตรงนั้น ผมขออย่างเดียวเพียงประชาชนอย่าทอดทิ้งผม" ทั้งนี้ เมื่อพูดจบบรรดาแกนนำพรรคและทีมเศรษฐกิจพรรค ส่งเสียงเฮ พร้อมปรบมือให้
ภาพความเคลื่อนไหวของ นายอนุทิน ก่อนหน้านี้ทำให้เห็นภาพชัดเจนก็คือ ในช่วงเช้าวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา เขาอ้างว่าได้เข้าอวยพรวันเกิดพล.อ.ประยุทธ์ เป็นการส่วนตัวที่ทำเนียบรัฐบาล หลังจากนั้นในช่วงเที่ยงวันเดียวกันเขาได้ยกขบวนไปทานข้าวกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
แน่นอนว่า ภาพการหารือดังกล่าวย่อมเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองชัดเจนอยู่แล้ว และไม่ต้องอธิบายก็รับรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นลักษณะล็อบบี้กันเพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า เพราะนี่คือ “ขั้วการเมือง” ฝั่งหนึ่ง ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับอีกขั้วหนึ่งเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกน แต่ลักษณะของขั้วหลังนี้ มีลักษณะพิเศษตรงที่พรรคเพื่อไทยต้องการ “แลนด์สไลด์” เพื่อหวังตั้งรัฐบาลพรรคเดียวถึงกับ “ตัดญาติ” ขาดมิตรกับพรรคฝ่ายค้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นพรรคก้าวไกล รวมไปถึงพรรคอื่น โดยเฉพาะคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เรียกร้องให้เลือกแบบ “ยุทธศาสตร์” คือบีบให้เลือกเพื่อไทยพรรคเดียว
หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่า ผลกระทบจากท่าทีแบบนี้มีผลกระทบกับ “ขั้วเดียวกัน” คือฝ่ายค้านด้วยกันนั่นแหละ ซึ่งอย่าได้แปลกใจที่พรรคก้าวไกลถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้น เพราะเหมือนกับการ “ลอยแพ” พวกเดียวกัน เพื่อหวังเอาตัวรอดคนเดียว
เมื่อวกกลับมาที่ “ขั้วรัฐบาล” จากคำพูดของ “บิ๊กตู่” มันก็เป็นการยืนยันแบบหลวมๆ กันล่วงหน้าเป็นลักษณะ “จับมือ” กันก่อน แต่ก็อย่างที่เข้าใจกันก็คือ ต้องรอผลเลือกตั้งก่อนว่าใครจะมีที่นั่งเท่าไหร่ และใครจะได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่สำหรับ “สองป.”ถือว่ามี “แต้มต่อ” ด้วยจำนวน ส.ว.ที่อยู่ในมืออีกจำนวนหนึ่งด้วย
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาคำนวณเบื้องต้นและความเป็นไปได้สำหรับพรรคการเมืองที่บอกว่าต้องรวมไม่น้อยกว่าสามพรรคดังกล่าว ถึงจะมีความเป็นไปได้ว่ามีเสียงเพียงพอสำหรับการจัดตั้งรัฐบาล หรืออย่างน้อยทั้งสามพรรคนี้ต้อง “จับมือ” แพกกันก่อน เพื่อที่ดึงพรรคการเมืองอื่นมาร่วมเพิ่มเติมในภายหลัง ซึ่งก็ต้องเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่เหลือนั่นแหละ อาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา
เพราะเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ มันก็ยังยืนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาถือว่ายังราบรื่นมาตลอดระยะเวลา 4 ปี ถือว่ายาวนานและราบรื่นจนถึงวันสุดท้าย แม้ว่าในช่วงท้ายรัฐบาลจะดูเหมือนขัดแย้งระหว่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์เรื่องกัญชา แต่เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาเชื่อว่าไม่มีปัญหา หากให้ประเมินระหว่างให้ร่วมกับฝั่งขั้วรัฐบาล กับฝั่งเพื่อไทยที่เหมือน “ปลาคนน้ำ” คงเป็นไปได้ยาก
ดังนั้น นาทีนี้ถือว่าทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่านี่คือ รายการจับมือกันล่วงหน้าแบบ “หลวมๆ” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลสามพรรคหลัก คือภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ เพียงแต่ว่าต้องรอผลเลือกตั้งว่าใครจะได้กี่เสียงและใครเป็นแกนนำ ใครเป็นนายกฯเท่านั้นเอง ขณะเดียวกันก็ไม่น่าจะไปได้ว่าจะโดดเดี่ยวพรรคใดพรรคหนึ่งในสามพรรค เพราะประเมินเบื้องต้นเพียงแค่สองพรรคไม่น่ามีเสียงเพียงพอ และภาพความเคลื่อนไหวของของ “เสี่ยหนู” ที่วิ่งรอกถกกับ “สองป.”ไม่ต่างจากบทบาท “ผู้จัดการ” ก็เป็นคำตอบชัดเจนในตัวอยู่แล้ว !!