xs
xsm
sm
md
lg

“ขั้วใหม่-ขั้วเดิม” เพื่อไทยหนาวแน่ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อนุทิน ชาญวีรกูล - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
เมืองไทย 360 องศา

มองออกกันไม่ยากสำหรับการยกขบวนของแกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หัวหน้าพรรค นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรค และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค เข้าหารือลับกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามข่าวบอกว่า เป็นการหารือกันเมื่อเที่ยงวันที่ 15 มี.ค. ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ

แม้ว่าหลังการหารือ ยังไม่มีใครให้รายละเอียด แต่พล.อ.ประวิตร กล่าวเพียงสั้นๆว่า ทั้งสองพรรค “เป็นพวกกัน” อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 16 มีนาคม นายอนุทิน ชาญวีรกูล แม้ว่าจะยังปฏิเสธว่า ไม่ได้มีนัยการเมืองใดๆ แต่ก็ย้ำว่า หากมีการร่วมรัฐบาลกัน ต้องมีเงื่อนไขในเรื่อง “พ.ร.บ.กัญชง กัญชา” ต้องได้รับการเห็นชอบร่วมกัน

ก่อนหน้านั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์รายการ “ลึกจากสนามข่าว” ทาง FM 96.0 ชี้แจงกรณีปรากฏภาพแกนนำพรรคภูมิใจไทย ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อย่างชื่นมื่น ว่า ไม่ได้มีนัยยะทางการเมือง แต่เป็นการนัดกันล่วงหน้านานแล้ว ตั้งแต่ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค เดินทางไปพบกับพล.อ.ประวิตร ในช่วงที่ลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จ.นครสวรรค์ และเห็นว่าไม่ได้กินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร นานแล้ว ตนจึงได้โทรศัพท์ไปย้ำนัดกันอีกครั้ง ก่อนพบว่ามีเวลาตรงกัน ตนพร้อมคณะจึงได้เข้าไปพบพล.อ.ประวิตร และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การเมือง แลกเปลี่ยนความพร้อมของทั้งสองพรรค ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็สอบถามถึงการประเมินตัวเลข ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ตนก็แจ้งว่าน่าจะได้ประมาณ 70 คน ซึ่งท่านก็เห็นว่า ตรงกับผลโพลที่ออกมา พร้อมปฏิเสธพูดคุยถึงการจับขั้วการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันทั้งพรรคภูมิใจไทย กับพรรคพลังประชารัฐ เป็นขั้วเดียวกัน คือ ขั้วรัฐบาลอยู่แล้ว

“ผมไปกินข้าวกับผู้จัดการรัฐบาล มันมหัศจรรย์ตรงไหนหรือ ถ้าไปกินข้าวกับพรรคเพื่อไทย ค่อยน่าตื่นเต้นกันหน่อย การนัดกินข้าวร่วมกันของนักการเมืองในช่วงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการนำภาพที่ผมไปกินข้าวเที่ยงกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ถูกเว้นวรรคปฏิบัติหน้าที่ ไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมเห็นว่าทางการเมืองเราสามารถพบปะพูดคุยกันได้ วันนี้ผมโทรไปนัดใคร หรือใครโทรมานัดผมกินข้าว ผมไปหมด หัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านจะเชิญพรรคร่วมรัฐบาลไปกินข้าว ผมคิดว่าก็ต้องไปนะ เพราะการนัดกินข้าวก็ไม่ใช่ว่าจะต้องร่วมหัวจมท้ายกัน”

ถามว่า เหตุใดจึงต้องนัดกินข้าวกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง นายอนุทินกล่าวว่าตอนนี้ไม่ใช่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง10 วัน วาระของรัฐบาลชุดนี้ก็จะหมดลงในวันที่ 23 มี.ค.นี้ ซึ่งวันนั้นทุกพรรคเท่ากัน ไม่มีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านแล้ว เพียงแต่คณะรัฐมนตรียังคงต้องรักษาการไปจนกว่าจะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่

เมื่อถามว่า มีการตีความว่า ทั้งสองพรรคปล่อยภาพออกมาเพื่อหวังข่มขู่พรรคการเมืองคู่แข่ง นายอนุทิน กล่าวว่า อย่ามองโลกในแง่ร้าย ไม่การขู่หรือระแวงกัน เพราะระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา หากมีการข่มขู่กัน คงอยู่ร่วมกันไม่ได้มาถึงทุกวันนี้ ยอมรับว่า อาจจะมีความเห็นต่างกันบ้าง แต่ก็ยอมรับในกติกา ซึ่งส่วนตัวคิดว่าบรรยากาศทางการเมืองดีขึ้น ไม่ได้มีความตึงเครียดเหมือนที่สื่อประเมินกันไว้ พร้อมระบุว่า หากครั้งหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้มีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาล เงื่อนไขแรกคือ การบอกพรรคร่วมรัฐบาลว่า ร่างกฎหมายกัญชาต้องผ่าน เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน เรามีช่องทางที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เตรียมยื่น กกต.ให้ยุบพรรคภูมิใจไทย กรณีการใช้นอมินี ในการเข้ามารับงานประมูลในกระทรวงที่ตนเองกำกับดูแล และขอให้มีการยุบพรรคก่อนเลือกตั้งนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกคนในฐานะประชาชนมีสิทธิ์ที่ทำได้ ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาก็มีหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง และหากชี้แจงไม่ได้ หรือทำผิดกฎหมายก็ต้องยอมรับชะตากรรมไป

ตรงกันข้ามผู้ที่กล่าวหา หากมีเจตนามุ่งทำลาย และไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวหา ก็เสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี ซึ่งส่วนตัวยังมั่นใจบนพื้นฐานว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่เคยคิดว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ แม้ว่าคอการเมืองจะมีการพูดด้วยซ้ำ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เพราะพรรคภูมิใจไทย มีจุดหมายที่ใหญ่กว่าจะต้องทำ คือ การหาเสียงเลือกตั้งให้ดีที่สุด หากมั่วไปตอบโต้ก็มีแต่จะเสียงคะแนนลงไป

แน่นอนว่าคำตอบของ นายอนุทิน ดังกล่าวย่อมมีความหมายอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ที่บอกว่าไม่มีนัยทางการเมือง แต่ความเคลื่อนไหวแบบนี้มันก็ชัดเจนไม่ต้องพูดกันมาก และรับรองว่าคงไม่ใช่คุยกันแค่ตั้งเงื่อนไขเรื่องกฎหมายกัญชาเท่านั้นอยู่แล้ว แต่เชื่อว่ามันต้องครอบคลุมในทุกเรื่อง ที่น่าสนใจก็คือ ตัวเลขส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ที่ประเมินกันไว้ว่า ราวๆ 70 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าเป็นพรรคขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ เหมือนกัน

ขนาดจำนวน ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยหากได้ตามเป้าหมายที่ว่าจริงๆ ถือว่าขนาดกำลังดี เหมาะสมที่จะเป็นไปได้ทั้งพรรคแกนนำรัฐบาล หรือเป็นพรรค “ตัวแปร” ในการตั้งรัฐบาล ดังนั้นการหรือลับดังกล่าว ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นการจับมือ แบบ“มัดจำ”เอาไว้ล่วงหน้า

ทางหนึ่งยังเป็นการเคลื่อนไหวแบบรุกกลับฝ่ายตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านี้เริ่มไล่ขยี้หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากรับรู้กันดีว่ามีเป้าหมายทับซ้อนกัน การเติบโตของพรรคภูมิใจไทย เท่ากับการเสื่อมทรุดของพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งอย่างที่รับรู้กัน ทั้งสองพรรคต่างวางเป้าหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นฐานเสียงเดิมแล้วในพื้นที่ภาคอีสาน ยังมีจำนวน ส.ส.มากที่สุด ถือว่าเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์

หากมองว่า ทั้งสองพรรค “แตะมือ” กันล่วงหน้าแบบหลวมๆในทางการเมือง ก็ยังถือว่ามีแนวโน้มเทมาทางฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่หลังการเลือกตั้งคราวหน้า จะมีพรรครวมไทยสร้างชาติของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเพิ่มอีก หากรวมสามพรรคนี้ มันก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อย เพราะต้องไม่ลืมว่า ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ยังมี ส.ว.อยู่ในมืออีกนับร้อยคน เพิ่มจำนวนเสียงโหวต นี่ยังไม่นับพรรคประชาธิปัตย์ และชาติไทยพัฒนา

ขณะเดียวกันเมื่อหันมามองในฝั่งตรงข้าม คือพรรคเพื่อไทยที่ล่าสุดก็มีการแสดงท่าทีออกมาจาก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาในทำนองว่าจะจับมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิมก่อน อย่างน้อยก็มีสเตปแรก คือร่วมกันโหวตเลือกนายกฯก่อน จากนั้นเงื่อนไขในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันนั้นค่อยมาว่ากันอีกที และระบุทำนองว่า จะไม่ร่วมกับพรรค “แนวร่วมเผด็จการ” พร้อมกับเรียกร้องให้เลือกแบบมียุทธศาสตร์ ซึ่งเป้าหมายก็คือ บีบการเมืองให้เหลือสองขั้ว ให้เลือกระหว่าง “เอา” กับ “ไม่เอา” เพื่อไทย

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากสภาพความเป็นจริงแล้วเป้าหมาย “เล่นใหญ่” จำนวน 310 ที่นั่ง บรรดาคอการเมืองที่ติดตามมาอย่างใกล้ชิด แล้วฟันธงตรงกันว่า “เป็นไปไม่ได้” เป็นแค่การสร้าง“อุปาทานหมู่” เท่านั้นเอง เป็นการกลบเกลื่อนความหวั่นวิตก หลังจากที่เป้าหมายแลนด์สไลด์เดิมจำนวน 250 ที่นั่ง ทำท่าจะแป้ก จึงสร้างเป้าหมายใหม่พร้อมกับสร้างกระแสบีบการเมืองสองขั้วให้ตัวเองได้ประโยชน์

ดังนั้นเมื่อได้เห็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ สองพรรคอย่างภูมิใจไทย กับพลังประชารัฐ แตะมือกันตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ มันก็ย่อมทำให้ฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย “หนาว” แน่ ที่หนาวเพราะเริ่มมาถึงทางตันขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไปหน้าเป้าหมาย 310 เสียง เป็นได้แค่มโนไปไกล เพราะขนาดเป้าหมายเดิมยังแทบเป็นไปไม่ได้ ทำให้เวลานี้มันก็เหมือนกับมีอาการแบบละล้าละลัง จะประกาศจับมือกับใครก็ไม่กล้า กลัวว่าจะกระทบกับผู้สนับสนุน ขณะที่จะปฏิเสธมันก็ยิ่งโดดเดี่ยว !!



กำลังโหลดความคิดเห็น