นับให้เลย! “จตุพร” ฟันเปรี้ยง 14 จังหวัดภาคใต้ 60 เขต เพื่อไทยไม่ได้เลย ลบ 400 เหลือ 340 เสียง ต้องได้ส.ส.เขต 270 เหลือ 70 ที่นั่งให้พรรคอื่น เป็นไปไม่ได้ อาการ “อุปาทานหมู่” น่าเป็นห่วง
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (15 มี.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ กล่าวถึงพรรคเพื่อไทย ตั้งเป้าหมายเลือกตั้ง จะได้ ส.ส.จำนวน 310 เสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียว ว่า
เป็นการสร้างกระแสแลนด์สไลด์ ซึ่งสวนทางกับความเป็นจริง เพราะจำนวนผู้แทนราษฎร 400 เขต ถามว่า ใน 14 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 60 เขตนั้น พรรคเพื่อไทยจะได้ตรงไหนเพียงเสียงเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเสียพื้นที่ไป 60 เสียง จะเหลือ 340 เสียง ซึ่งใน 340 เสียง หากเพื่อไทยต้องการ 310 เสียง จะต้องได้ ส.ส.ระบบเขตอย่างน้อย 270 เสียง เหลือเพียง 70 เขตให้พรรคการเมืองอื่นๆ เท่านั้น
“ทางการเมืองเป็นไปไม่ได้เลย เหลือเพียง 70 ให้พรรคการเมือง อย่าง ภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ก้าวไกล ไทยสร้างไทย และพรรคอื่นๆ ถามว่า เป็นไปได้ไหม แต่เมื่อมีการสร้างกระแสแลนด์สไลด์ขึ้นมา จากที่ไม่มีอะไร มาตั้งเป้า 250 แป๊บเดียวบอก 270 เผลอแป๊บเดียวไป 310 เสียง อันนี้เป็นอาการที่น่าเป็นห่วง” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อไป วันที่พรรคเพื่อไทย ได้เสียงเกินครึ่ง ในนามไทยรักไทย 1 ครั้ง และในนามเพื่อไทย 1 ครั้ง โดยเมื่อปี 2548 เกิดจากพรรคไทยรักไทย ควบรวมพรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคชาติพัฒนา ใช้กลไกรัฐเต็มเพราะเป็นรัฐบาลครบ 4 ปี และไม่มีพรรคการเมืองในซีกเดียวกันเป็นคู่แข่งขัน ขณะที่อีกซีกหนึ่งแข่งกันหลายพรรค เพราะฉะนั้นพรรคไทยรักไทย จึงได้ 377 เสียง
ขณะที่เลือกตั้งปี 2554 ก็ไม่มีพรรคการเมืองในซีกเดียวกันแข่งขัน จึงได้ 265 เสียงเกินครึ่ง ดังนั้น วันนี้ถ้าพรรคเพื่อไทยได้ 310 เสียง แปลว่า พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ ซึ่งอยู่ซีกเดียวกัน จะไม่ได้ ส.ส.สักเสียงเดียว ในทางการเมือง ณ เวลานี้ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องการประกาศแลนด์สไลด์ ที่จะสร้างอุปาทานหมู่ โดยไม่ได้อธิบายความว่าจะเอาคะแนนมาจากตรงไหน อย่างไร
นายจตุพร กล่าวว่า ภาคเหนือตอนบนก็จะถูกหาร อย่างน้อยก็ที่พะเยา ส่วนแม่ฮ่องสอนผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เหนือตอนล่างหายากมาก ภาคกลางยิ่งเป็นจุดบอดของพรรคเพื่อไทย กรุงเทพฯก็ต้องหารกับพรรคการเมืองอื่นๆ ส่วนอีสานมีทั้งภูมิใจไทย พรรคไทยสร้างไทย ซึ่งไม่มีวันที่พรรคเพื่อไทยจะได้ 310 เสียง
“ถ้าจะได้ 310 เสียง พรรคเพื่อไทยจะต้องเดินทางไปสู่เกือบ 18 ล้านเสียง ครั้งที่แล้วได้ 8 ล้าน ต้องหาอีก 10 ล้านเสียง ซึ่งหาความจริงไม่เจอ แต่หาความสบายใจได้” นายจตุพร กล่าวและว่า กระแสฟีเวอร์ จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ไปที่ไหนคนเฮที่นั่น แต่ที่เห็นจากเวทีปราศรัย คือ การขนคนไปฟัง พูดให้แฟร์ คือ ขนกันทุกพรรคการเมือง
อย่างไรก็ตาม แม้พรรคเพื่อไทยเดินไปถึง 310 เสียงได้จริง ก็ช่วยอธิบายหน่อยว่าจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้อย่างไร เพราะเกินครึ่งหนึ่งของ 2 สภา คือ 376 เสียง ขาดอีก 66 เสียง จะไปเอาก้าวไกล ไทยสร้างไทย ก็ไม่มีให้ เพราะเพื่อไทยเอาไปหมด แล้วจะบอกว่า ส.ว.ต้องมาโหวต ถ้า ส.ว.เขาไม่โหวตจะทำอย่างไร เพราะ ส.ว.ยังไงเขาก็ต้องโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นลำดับแรกอยู่แล้ว ถ้าไปไม่ได้ก็โหวต พล.อ.ประวิตร
นายจตุพร ถามย้ำว่า 310 เสียงมาได้อย่างไร ช่วยอธิบายหน่อย เพราะมันไม่มีอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ และจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอีกต่างหาก แบบนี้ไสยศาสตร์ก็ยังอธิบายไม่ได้ ดังนั้น ในกระดานทางการเมือง มันอธิบายในทางปฏิบัติไม่เป็นจริงได้เลยสักข้อ แต่บรรดากองเชียร์ก็พร้อมเชื่อ คึกคักกันทั้งพรรค
นายจตุพร กล่าวถึงกรณี ส.ส.ที่เคยโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายคนย้ายกลับพรรคเพื่อไทย ว่า พรรคเพื่อไทยเคยอธิบายความเป็นประชาธิปไตย ว่า คนที่เคยยกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพวกเผด็จการ บัดนี้ในพรรคเพื่อไทยเผด็จการเริ่มมากตามลำดับ
“บนเวทีปราศรัยก็ประณามคนโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักการเมืองที่ทรยศต่อประชาชน วันนี้กลายเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ต่อประชาชนโดยฉับพลัน ถอดเสื้อทรยศ แล้วใส่เสื้อซื่อสัตย์ เป็นนักประชาธิปไตยกันแล้ว” นายจตุพร กล่าว