xs
xsm
sm
md
lg

ระบบธนาคารสหรัฐฯ พังเพราะเฟด (Federal Reserve)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทนง ขันทอง

เราสามารถฟันธงได้เลยว่า วิกฤตธนาคารที่ค่อนข้างรุนแรงที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้มีสาเหตุมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาด หรือจงใจให้ผิดพลาด หรือตั้งใจทำให้พังของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (Federal Reserve) ที่มุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดให้กับพวกแบงก์วอลล์สตรีทที่เป็นผู้ถือหุ้น โดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงของระบบการเงิน ระบบธนาคาร รวมทั้งเศรษฐกิจส่วนรวม เพราะถือดีว่ามีอำนาจพิมพ์ดอลลาร์ จะใส่ดอลลาร์ในมือใครก็ได้

ความผิดพลาดนั้นมาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาของเฟดที่ไม่ได้ยึดหลักทางสายกลาง แต่มีการใช้นโยบายการเงินเหมือนนั่งรถไฟเหาะอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเงินโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ช่วงระหว่างปี 2009 ถึงต้นปี 2022 ที่มีการกดดอกเบี้ยลงศูนย์เปอร์เซ็นต์ และคงดอกเบี้ยต่ำอย่างผิดปกติเป็นเวลารวมกัน 13 ปีเต็ม รวมทั้งการเพิ่มปริมาณเงินเข้าระบบอย่างมหาศาล มีผลทำให้เกิดฟองสบู่ทางการเงินไปทั่ว (The Everything Bubble) หรือเกิด mispricing หรือการที่ราคาทรัพย์สินต่างๆ สูงขึ้นผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงมาก

ผลของการดำเนินนโยบายการเงินที่กระตุ้นเศรษฐกิจเกินความจำเป็น บวกกับงบประมาณขาดดุล หรือการก่อหนี้มหาศาลของภาครัฐ ทำให้เกิดแรงกดดันของเงินเฟ้ออย่างรุนแรง พอเฟดกลับลำเปลี่ยนนโยบายการเงินมาสกัดเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปี 2022 ด้วยการดึงดอกเบี้ยขึ้น 8 ครั้งจาก 0-0.25% ถึงระดับ 4.50-4.75% รวมทั้งดูดเงินกลับออกจากระบบ $573,000 ล้านจากการทำ Quantitative Tightening มีผลทำให้ราคาทรัพย์สินทุกประเภทตกฮวบฮาบลงมา ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตร ตลาดหุ้น อสังหาฯ ส่งผลให้เกิดวิกฤตกับระบบธนาคารของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารขนาดกลาง และขนาดเล็กที่รับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงของดอกเบี้ย (interest rate shock) ไม่ได้


ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ ธนาคารซิกเนเชอร์ที่ถูกปิด รวมทั้งธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิกไม่ได้มีปัญหาหนี้เสียเหมือนในปี 2008 แต่มีปัญหาขาดสภาพคล่องที่เกิดจากการขาดทุนของการถือครองพันธบัตรที่ซื้อมาในช่วงยิลด์ หรืออัตราดอกเบี้ยต่ำ หลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและหนักหน่วงตั้งแต่มีนาคมปี 2022 ธนาคารที่ถือพันธบัตรในพอร์ตการลงทุนประสบกับการขาดทุนทางบัญชี เพราะว่ายิลด์ที่สูงขึ้น

อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 2 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ที่ 0.75% ในช่วงต้นปี 2022 แต่เวลานี้พุ่งขึ้นไปเป็น 4% กว่า ทำให้มีการโยกเงินฝากที่ให้ผลตอบแทน 0.2% ไปลงใน Money Market Funds ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า การแบงก์รัน หรือถอนเงินฝากแบบแพนิกทำให้ธนาคารหาสภาพคล่อง หามาคืนให้ผู้ฝากเงินไม่ทัน จำต้องขายพันธบัตรออกไปขาดทุนป่นปี้ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แบงก์ล้ม

โจ ไบเดนออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า จะปกป้องเงินฝากของประชาชน โดยไม่จำกัดวงเงิน เพราะกลัวว่าธนาคารจะถูกถอนเงินจนล่มเป็นโดมิโน เท่ากับว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังประกันเงินฝาก $19 ล้านล้านทั้งหมดในระบบแบงก์ ในขณะเดียวกันมีรายงานว่าธนาคารสหรัฐฯ ประมาณ 190 แห่งมีฐานะอ่อนแอคล้ายกับธนาคารซิลิคอน วัลเลย์จากจำนวนทั้งหมด 4,500 แห่ง จะแบกไหวไม่ไหวไม่รู้ ต้องให้สัญญาอุ้มแบงก์ทั้งระบบไปก่อน วิกฤตครั้งนี้ทำให้เกิดสองมาตรฐานในระบบธนาคารของสหรัฐฯ คนฝากโยกเงินออกจากธนาคารเล็ก ธนาคารขนาดกลางไปฝากกับธนาคารใหญ่ของวอลล์สตรีทที่ทางการจะไม่ปล่อยให้ล้ม (Too big to fail)

ในขณะเดียวกัน เฟดแอบกลับไปทำคิวอี ด้วยการพิมพ์เงินเข้าไปแล้วอย่างน้อย $300,000 ล้าน เพื่อซื้อพันธบัตรของบรรดาธนาคารที่มีปัญหาถูกถอนเงิน ที่เอาพันธบัตรมาแลกดอลลาร์กับเฟดตามราคาหน้าตั๋วโดยไม่ถูกดิสเคาท์จากยิลด์ที่สูงขึ้น เท่ากับว่าเฟดกำลังเอาการขาดทุนของแบงก์มาใส่บัญชีตัวเอง เท่านั้นยังไม่พอ เจพี มอร์แกนเขียนรายงานว่าเฟดอาจต้องใช้เงินมากถึง $2 ล้านล้านเป็นอย่างน้อยในการอุ้มธนาคารที่อ่อนแอ

วิกฤตธนาคารของสหรัฐฯ ปี 2023 ระเบิดออกมาแล้ว โดยที่ทุกคนรู้ว่ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าจุดจบจะอยู่ที่ไหน ความเสียหายจะมากน้อยเพียงใด

ส่วนการล่มสลายของธนาคารเครดิต ซูอิสที่ยุโรป โดยถูกธนาคารคู่แข่งยูบีเอสเข้าไปเทคโอเวอร์มีหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารที่ผิดพลาด เกิดการขาดทุนมโหฬาร มีเรื่องอื้อฉาวมาก ทั้งรัฐบาลสวิส และเครดิต ซูอิสมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแซงชั่นรัสเซียที่บุกยูเครน ทำให้น่าจะถูกตอบโต้ด้วยการถอนเงินฝาก หรือยกเลิกการทำธุรกิจกับธนาคารสวิส จีน ซาอุดีอาระเบีย และประเทศอื่นๆ มองว่าการฝากเงินที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป เพราะว่าไม่ได้ทำตัวเป็นกลางจึงทยอยถอนเงินออก ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่ผ่านมา เครดิส ซูอิสเจอการถอนเงินออกไปมากกว่า $88,000 ล้าน อีกสาเหตุที่ทำให้เครดิต ซูอิสล้มน่าจะมาจากความผิดพลาดในการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ที่มีพอร์ตอยู่ $39 ล้านล้าน ความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยความเสียหายให้กับเครดิต ซูอิสมาก ถึงกับต้องขอเครดิตไลน์จากธนาคารกลางสวิสมากถึง $54,000 ล้าน แสดงว่าเครดิต ซูอิสถูกถอนเงิน หรือขาดทุนมีเงินไหลออกเรื่อยๆ

ถ้าจะพูดให้ถึงแก่น วิกฤตระบบธนาคารที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้มาจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาดของเฟด ที่ไม่ยอมดำเนินนโยบายการเงินสายกลาง

ทางสายกลางคืออะไร

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อหาทางดับทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงขบฟัน กลั้นหายใจ อดอาหาร จนร่างกายซูบผอม แต่หลังจากทดลองเป็นเวลานาน 6 ปีแล้วไม่เกิดผล

อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย 3 วาระ คือดีดพิณสายที่ 1 ขึงไว้ตึงเกินไปเมื่อดีดก็จะขาด ดีดพิณวาระที่ 2 ซึ่งขึงไว้หย่อน เสียงจะยืดยานขาดความไพเราะ และวาระที่ 3 ดีดพิณสายสุดท้ายที่ขึงไว้พอดี จึงมีเสียงกังวานไพเราะ

พระพุทธเจ้าจึงทรงพิจารณาเห็นว่า ทางสายกลางคือไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนเกินไป นั่นคือทางที่จะนำสู่การพ้นทุกข์ หลังจากนั้นจึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา และหันมาฉันอาหารตามเดิม

เมื่อเข้าใจดังนี้แล้ว พระพุทธเจ้าไปประทับใต้ต้นโพธิ์เพื่อทำสมาธิ และตั้งพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ทรงลุกจากที่นั่งจนกว่าจะบรรลุมรรคผลหรือตรัสรู้ และในที่สุดก็ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ

การดำเนินนโยบายการเงินสายกลางก็เช่นกัน หมายความว่าดอกเบี้ยต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป ถ้าจำเป็นต้องตึง ก็จะตึงไม่นานเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหย่อนก็จะต้องหย่อนไม่นานเกินไป หรือในอีกแง่หนึ่งต้องหาจุดสมดุลของอัตราดอกเบี้ย หรือปริมาณเงินในระบบที่เหมาะสมให้เจอ

ไม่ใช่เวลาลดดอกเบี้ยก็ลดอุตลุด พอขึ้นดอกเบี้ยก็ขึ้นเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้

ตลอดระยะเวลากว่า 200 ปีของการดำรงอยู่ของสาธารณรัฐอเมริกา อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 4-6% ระหว่างทางเกิดสงครามกลางเมืองในศตวรรษที่ 19 เกิดสงครามโลก 1, 2 ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 แต่เงินเฟ้อ หรือดอกเบี้ยไม่เคยสูงปรู๊ดปร๊าดเกือบไปถึง 20% เหมือนอย่างปี 1980 ที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงเพื่อปกป้องดอลลาร์ หลังจากที่สหรัฐฯ ยกเลิกผูกดอลลาร์กับทองคำในปี 1971 ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008-2009 กลับมีการริเริ่มนโยบายดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์


Fed ไม่ได้เดินทางสายกลางในการบริหารนโยบายการเงิน เพราะว่าทุกครั้งที่ใช้ดอกเบี้ยต่ำจะสร้างฟองสบู่ทางการเงิน เมื่อขึ้นดอกเบี้ย ฟองสบู่จะแตก อันเห็นได้จากฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000 ฟองสบู่ซับไพรม์แตกในปี 2007 ฟองสบู่วอลล์สตรีทแตกในปี 2008

วิกฤต 2008 ทำให้เฟดมีข้ออ้างในการดำเนินนโยบายการเงินแบบทุ่มสุดตัวจนหมดหน้าตัก คือกดดอกเบี้ยลง 0% และการทำคิวอี หรือการเพิ่มปริมาณเงินเข้าไปในระบบมหาศาลผ่านการอุ้มพันธบัตรรัฐบาล และซื้อ mortgage-backed securities หรือตราสารหนี้ที่มีอสังหาฯ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน จนทำให้งบดุลของเฟดปูดขึ้นมาจาก $900,000 ล้านก่อนวิกฤต จนเกือบแตะ $9 ล้านล้าน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของฟองสบู่การเงิน (The Everything Bubble) และการเกิดความผิดเพี้ยนของราคา (mispricing) ของทรัพย์สินทุกอย่าง ส่งผลให้เกิดความเปราะบางในระบบธนาคาร

ในขณะเดียวกัน หนี้ภาครัฐพุ่งจาก $9 ล้านล้านในปี 2009 มาชนเพดานที่ $31.4 ล้านล้านในเวลานี้ หรือกว่า 120% ต่อจีดีพี

ความจริงแล้ว ถ้าเฟดไม่ซื้อพันธบัตรรัฐบาล จะทำให้รัฐบาลไม่ใช้เงินมือเติบ ในช่วง 3 ปีระหว่างปี 2020 ถึงตอนนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก่อหนี้ไปแล้ว $7 ล้านล้านเพื่อสนองตัณหานักการเมือง และการเข้าไปซื้อ mortgage-backed securities เป็นการช่วยแบงก์วอลล์สตรีทให้สามารถโละพอร์ตที่ปล่อยสินเชื่อบ้านออกไปได้

ทั้งนโยบายการเงินที่หละหลวม และการใช้จ่ายภาครัฐที่มือเติบ ทำให้สหรัฐฯ ต้องเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่หนักหน่วงที่หลายคนเกรงว่าจะเกิดเงินเฟ้อระดับไฮเปอร์ โดยเงินเฟ้อปีที่แล้วไปพีคที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน และเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 8.5% ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเงินเฟ้อสหรัฐฯ อยู่ที่ 6% ทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อคุมเงินเฟ้อให้อยู่ที่เป้าหมาย 2% ดอกเบี้ยขาขึ้นกดดันให้ตลาดบอนด์มียิลด์สูงขึ้น และมีราคาตก และแบงก์ที่ถือบอนด์ขาดทุนทางบัญชี และส่งผลกระทบต่อตลาดอนุพันธ์ที่พวกธนาคารเล่นกันเอง โดยที่คนนอกไม่มีใครล่วงรู้ความจริงว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่

ระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดจะประชุมเพื่อตัดสินใจว่าจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ หรือจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ถ้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ระบบแบงก์ที่เปราะบางอยู่แล้วจะมีวิกฤตรุนแรงขึ้น ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ย ต่อไปจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อยากยิ่งขึ้น ความน่าเชื่อถือของเฟดที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วจะหมดไป

บางคนมองว่าดอกเบี้ยของเฟดอาจจะต้องไปถึง 6-7% ถึงจะเอาเงินเฟ้ออยู่ในรอบนี้ แต่ระบบแบงก์ไม่สามารถรับดอกเบี้ยในระดับที่สูงอย่างนั้นได้ จะไปต่อไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ เฟดที่แสร้งทำอาการขึงขังในการจัดการกับเงินเฟ้อ คงต้องกลับลำมาดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป และต้องกลับมาทำคิวอี ซึ่งก็ได้ทำแล้ว $300,000 ล้าน รวมทั้งลดดอกเบี้ยลง เพื่อปกป้องระบบธนาคาร โดยจะปล่อยให้เงินเฟ้อวิ่งแซงหน้าต่อไป อย่างไรก็ดี เฟดได้ประกาศแล้วในกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า จะให้มีการใช้ระบบชำระเงินแบบเรียลไทม์แบบใหม่ เรียกว่า FedNow ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าจะรองรับการเปิดตัวของดิจิทัลดอลลาร์ (Central Bank Digital Currency) ที่จะมาแทนดอลลาร์ในปัจจุบัน เพื่อการรีเซ็ตสกุลเงินและการล้างหนี้สหรัฐฯ ไปในตัว


กำลังโหลดความคิดเห็น