xs
xsm
sm
md
lg

โบรกเกอร์ยันแบงก์ไทยไม่กระทบ หลัง "เครดิต สวิส" ตีมูลค่าหุ้นกู้ AT1 เป็นศูนย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โบรกเกอร์ประสานเสียงยันสถานะแบงก์ไทยยังแข็งแกร่ง แม้ล่าสุดนักลงทุนทั่วโลกแห่ขายหุ้นกู้ AT1 กังวลถูกตีมูลค่าเป็นศูนย์เช่นเดียวกับเครดิต สวิส หลัง UBS ซื้อ ระบุธนาคารไทยส่วนใหญ่ออกตราสาร "หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์" ไม่ต้องทำ Mark-to-market และไม่มีผลกระทบต่อผลกำไร

เมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก จากปรากฏการณ์ Bond-shock หลังจากมูลค่าหุ้นกู้ AT1 ของ Credit Suisse กลายเป็นศูนย์ ภายหลังดีลการเข้าซื้อกิจการของ UBS ส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นกู้ AT1 ของสถาบันการเงินต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงไทย ตลอดจนการขายสินทรัพย์เสี่ยงอื่นเพื่อนำเงินมาลดผลขาดทุนที่เกิดขึ้น

ทรีนีตี้มองแบงก์พาณิชย์ไทยกระทบจำกัด และไม่กระทบกำไร-ขาดทุน

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ทรีนิตี้ เปิดเผยว่า ขณะนี้ความกังวลต่อตราสาร AT1 ในกลุ่มสถาบันการเงินทั่วโลกผ่อนคลายลง โดยการตรวจสอบล่าสุด พบว่า ราคาตราสารหนี้ส่วนใหญ่รีบาวนด์ขึ้นมาแล้วประมาณ 50% ของที่ลงไปเมื่อวันที่ 20 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงหุ้นกู้ประเภทดังกล่าวของธนาคารพาณิชย์ไทยด้วยเช่นกัน

ดังนั้น มองว่าผลกระทบของการ Wipe out ที่เกิดขึ้้นมีสาเหตุจากเงื่อนไขเฉพาะตัวของหุ้นกู้ AT1 ของ Credit Suisse ที่เสียเปรียบผู้ถือหุ้นสามัญ ในกรณีที่บริษัทเข้าข่ายไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ทำให้หุ้นกู้เหล่านี้ต้องถูกตัดจำหน่าย ซึ่งถือเป็นกรณีเฉพาะตัวมากๆ โดยล่าสุดความกังวลนี้ได้รับความเชื่อมั่นจากธนาคารกลางต่างๆ เช่น ECB และ BoE แล้วว่าจะไม่เกิดขึ้นกับ AT1 bonds ที่ Outstanding อยู่ในตลาด ณ เวลานี้

เพราะฉะนั้นปัญหาการเทขายหุ้นกู้ที่นับเป็นเงินกองทุนส่วนเพิ่มชั้นที่ 1 (Additional Teir1 หรือ AT1) ในตลาดโลกจนส่งผลให้หุ้นกู้ที่เป็น AT1 ของธนาคารพาณิชย์ไทยถูกเทขายไปด้วยนั้น มองว่ามีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ไทยค่อนข้างจำกัด เนื่องจากหุ้นกู้ AT1 ของธนาคารพาณิชย์ไทยมักออกเป็นหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้อง Roll-over และธนาคารเป็นผู้ออกตราสารทำให้ไม่ต้อง Mark-to-market และไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน

ส่วนในกรณีที่เลวร้ายสุด ผลกระทบจึงมีแค่การออกตราสารใหม่เพื่อเพิ่มสัดส่วน Tier1 อาจมีต้นทุนที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สัดส่วน Tier1 ณ ปัจจุบันของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ตํ่ามาก (ยกเว้น KKP) จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกหุ้นกู้ที่เป็น AT1 เพิ่มเติม

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีความแข็งแกร่งในด้านเงินทุน และไม่มีปัญหาสภาพคล่องเช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศที่มีปัญหา ดังนั้น ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาจึงเกิดจากปัจจัยภายนอกมากกว่าพื้นฐานจึงมองเป็นโอกาสในการลงทุน

สำหรับราคาทองคำปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ หลังจากนักลงทุนกังวลกับปัจจัยใหม่อย่างหุ้นกู้ AT1 ของสถาบันการเงินต่างๆ ทำให้ยังมีการโยกย้ายเงินเข้าสู่ Safe haven เช่น พันธบัตรและทองคำอย่างต่อเนื่อง มองว่าการปรับขึ้นของทองคำมีโอกาสสนับสนุนยอดการส่งออกทองคำของไทยในช่วงถัดไป ทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่า ซึ่งอาจกลายมาเป็นตัวช่วยทางอ้อมทำให้ยอดการส่งออก และยอดดุลการค้าของไทยปีนี้ไม่ได้น่าเป็นห่วงเหมือนที่หลายฝ่ายกังวลก่อนหน้านี้

KS มองเป็นจังหวะลงทุนหุ้นแบงก์เพิ่ม เชียร์ KTB-TTB

ด้าน บล.กสิกรไทย มองว่า ในส่วนของแบงก์ไทยมีตราสารหนี้ CoCo (Contingent Convertible Bonds) น้อยคิดเป็นสัดส่วนเพียง 3% อีกทั้งมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 (CET1) อยู่ในระดับสูงที่ 16.68% เทียบขั้นต่ำตามเกณฑ์ที่ 8.0% ไม่จำเป็นต้องพึ่งการออกตราสารหนี้ CoCos แต่อย่างใด

นอกจากนี้ แม้ราคาตลาดของตราสารหนี้ CoCos จะปรับตัวลดลงไม่จำเป็นต้อง mark to market ในส่วนนี้ เพราะธนาคารเป็นผู้ออกตราสาร มิใช่ผู้ถือตราสารดังกล่าว

โดยสรุปปัจจัยพื้นฐานธนาคารไทยเรามองว่าไม่เปลี่ยนแปลง แนะนำระหว่างความผันผวน ทยอยหาจังหวะลงทุนเพิ่มในกลุ่มธนาคาร โดยมี Top pick คือ KTB และ TTB

KCS ประเมินแบงก์ไทยมี CAR Ratio เฉลี่ย 16.6-20%

บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี พัฒนสิน (KCS) ระบุว่า ธนาคารไทยที่มีการออกตราสาร perp AT1 เท่าที่มีการเปิดเผยข้อมูล (Bloomberg และจากการสอบถามธนาคาร) ได้แก่ BBL, TTB, KBANK, และ KTB โดยโครงสร้างการเคลื่อนไหวของราคา perp bond AT1 ที่ออกไปแล้วจะไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของธนาคารผู้ออกตราสาร และจากการตรวจสอบรายชื่อผู้ถือตราสารดังกล่าวเท่าที่มีการเปิดเผยพบว่าเป็นสถาบันการเงินต่างชาติที่เน้นถือในระยะยาวเป็นหลัก

โดย KCS มองว่ากรณีที่จะเกิดผลกระทบต่อธนาคารไทยในลักษณะเดียวกับ CS จะเกิดขึ้นต่อเมื่อฐานะการเงินของธนาคารผู้ออกตราสารแย่ลง จนเข้าเงื่อนไขที่ผู้ออกกำหนดว่าต้องแปลงสภาพ เช่น ระดับ CAR Ratio ต่ำกว่า 5% จนเกิดการแปลงสภาพเป็นหุ้นที่มีมูลค่าลดลง โดยในส่วนของธนาคารไทยยังถือว่ามี CAR Ratio ที่แข็งแกร่งเฉลี่ยราว 16.6-20% ภาพรวมทำให้ประเมินความเสี่ยงดังกล่าวต่อหุ้นใน SET จำกัด และให้น้ำหนักเป็นจิตวิทยาเชิงลบมากกว่า


กำลังโหลดความคิดเห็น