บล.ทรีนิตี้ ระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในฝั่งสถาบันการเงินสหรัฐฯ ตอนนี้เป็นปัญหาทางด้านสภาพคล่องเป็นหลัก ซึ่งมีที่มาจากการสะสมของปัจจัยกดดันต่างๆ ทั้งการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด การถอดถอนสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ภาวะ Earning contraction และภาวะขาลงของสินทรัพย์ Digital และ cryptocurrency ส่งผลให้เมื่อบริษัทที่เผชิญปัญหาเหล่านี้ต้องการสภาพคล่องแบบทันทีทันใด
ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดหาสภาพคล่องให้ก่อนหน้านี้จึงเตรียมการไม่ทัน และเมื่อต้องการเตรียมการก็เผชิญกับผลขาดทุนทางด้านราคาสินทรัพย์เข้าไปอีก จากการที่อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับในอดีต ส่งผลให้สถาบันการเงินเหล่านี้เผชิญกับวิกฤตสภาพคล่องแบบทันทีทันใด และทำให้ถูกสั่งปิดกิจการลงทันที
Crisis of confidence : มองผลกระทบที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาทางด้านสภาพคล่องและความเชื่อมั่นของนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งถึงแม้ปัญหาแรกอาจยังต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข ปัญหาที่สองดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาในเชิงบวกบ้างแล้ว หลังจากล่าสุดทางการสหรัฐฯ ได้ทำตัวเป็น The last resort ออกมาตรการ Backstop เพื่อจัดหาสภาพคล่องฉุกเฉิน (Funding program) ให้ธนาคารที่ประสบปัญหา และการันตีเงินฝากของผู้ฝากเงินทั้งในส่วนที่ได้รับความคุ้มครองและไม่ได้รับความคุ้มครอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ล่าสุดสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหลายตอบรับเชิงบวกขึ้นได้บ้าง
Still in check : จากการตรวจสอบสัญญาณต่างๆ ล่าสุด พบว่าเครื่องชี้สภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินสหรัฐฯ แม้ได้รับผลกระทบบ้าง แต่ถือว่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ว่าจะดูจากเครื่องชี้ LIBOR-OIS spread, TED spread หรือ CDS ของธนาคารขนาดใหญ่ต่างๆ ในสหรัฐฯ ไม่ต้องพูดถึงสัญญาณสภาพคล่องในตลาดบ้านเราซึ่งยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติมากเช่นเดียวกัน มองผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับบ้านเราอาจจะมาผ่านช่องทาง Wealth effect ของนักลงทุนบางส่วนที่มี Exposure กับหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินสหรัฐฯ ซึ่งบางกองทุนนั้นมีการลงทุนในหุ้น SVB อยู่ประปราย โดยภาพรวมผลกระทบส่วนนี้ในเชิงตัวเลขจึงไม่น่าจะมีนัยสำคัญมากนัก
Positive knock-on : ทั้งนี้ มองปัญหาที่เกิดขึ้นล่าสุดอาจกลับกลายเป็นปัจจัยบวกทางอ้อมต่อมายังภาวะการลงทุนในตลาดทุนโลกช่วงต่อไป ผ่านช่องทางการปรับเปลี่ยนโหมดนโยบายการเงินและนโยบายการคลังของสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เอง ที่ล่าสุดเรามองว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นแล้วที่เฟดจะมีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียงแค่ 0.25% ในการประชุมวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ ซึ่งล่าสุดดูเหมือนว่าตลาดจะเชื่อแล้ว 100% เช่นกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง มองว่าจะกลายมาเป็น Positive knock-on effect ทำให้ปัจจัยปัญหาวิกฤตสภาพคล่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ผ่อนคลายลงต่อได้อีก
กลยุทธ์ : แนะถือครองหุ้นที่ได้เข้าสะสมไปที่บริเวณแนวรับดัชนีแรกของเราเดือนนี้ที่ 1,580-1,600 จุด มองหากราคาหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินของไทยปรับตัวลงจากความกังวลจากเหตุการณ์ในสหรัฐฯ ช่วงนี้ มองเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ (Buy on dip) รวมไปถึงหุ้นกลุ่ม Bond-like เช่น REIT/IFF และกลุ่ม Defensive อย่าง Utilities ที่ได้ประโยชน์จากการปรับตัวลดลงของ Bond yield อย่างมีนัยสำคัญ
Jobs report : สหรัฐฯ รายงานตัวเลขตลาดแรงงานเมื่อคืนวันศุกร์มีไฮไลตฺที่น่าสนใจดังนี้
1) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) เพิ่มขึ้น 3.1 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 2.3 แสนตำแหน่ง
2) อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.4%
3) อัตราค่าจ้างรายชั่วโมงขยายตัว 4.6% YoY และ 0.2% MoM ใกล้เคียงตลาดคาด
Our take : ตัวเลขสำคัญทั้งสามที่ออกมาไม่ได้เอนเอียงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ดังนั้น อาจต้องรอดูตัวเลขสำคัญถัดไปนั่นคือเงินเฟ้อที่จะออกมาในสัปดาห์นี้ แต่ปัจจัยดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นปัจจัยรองและอาจจะมีอิทธิพลน้อยลงแล้ว (หากตัวเลขไม่ได้ออกมา Surprise ในด้านบวกมากๆ) หลังจากที่มีปัญหาความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ล่าสุด