xs
xsm
sm
md
lg

บล.พายคาดเม็ดเงินสะพัดก่อนเลือกตั้ง หนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ระบุว่า สัปดาห์นี้ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1,550-1,580 จุด เกาะติดประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และปัจจัยในประเทศ การยุบสภาเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ แนะกลุ่มโดดเด่น

ทั้งนี้ ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดลบ 1.19% นักลงทุนกังวลกับวิกฤตในธนาคารอีกครั้งหลังจากที่ SVB ที่เป็นบริษัทแม่ของ Silicon Valley Bank ได้ประกาศล้มละลาย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับตัวลง 2.3% กังวลกับปัญหาธนาคารต่างๆ

สัปดาห์นี้นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับผลประชุมเฟดที่จะทราบผลอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสฯ ช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทย สำหรับผลประชุมครั้งนี้ CME FED Watch ส่วนมาก 62% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ขณะที่อีก 38% ให้น้ำหนักคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม ทั้งนี้ หากประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% มองว่าไม่มีผลอะไรมากกับการลงทุน แต่สิ่งที่นักลงทุนจะให้น้ำหนักได้แก่ ถ้อยแถลงจากการประชุมและมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับธนาคารต่างๆ ว่าเฟดจะมีวิธีจัดการหรือช่วยเหลืออย่างไร

ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ (1) ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ ในวันอังคาร Bloomberg ประเมินไว้ที่ 4.19 ล้านหลังคาเรือน (2) ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐฯ Bloomberg ประเมินไว้ที่ 6.5 แสนหลังคาเรือน

ส่วนในประเทศรัฐบาลได้เตรียมแผนประกาศยุบสภาเบื้องต้น เราเชื่อว่าจะเกิดภายในสัปดาห์นี้ โดยการยุบสภาเปรียบเสมือนกับการทำให้ความเป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ตามกฎหมายแล้วหลังจากประกาศยุบสภาจำเป็นต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน ดังนั้น หากรัฐบาลตัดสินใจประกาศยุบสภาสัปดาห์หน้า การเลือกตั้งไทยอย่างไม่เป็นทางการจะไม่เกินไปกว่าปลายเดือน พ.ค. หรือเร็วสุดช่วงต้นเดือน พ.ค.

สถิติการเลือกตั้งปี 62 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 3.5% โดยกลุ่มที่โดดเด่นสุด ได้แก่ ค้าปลีก อาหาร และรับเหมาก่อสร้าง ขณะที่เชิงปัจจัยพื้นฐานพบว่ารายได้ในกลุ่มค้าปลีก (BJC CPALL COM7 HMPRO DOHOME GLOBAL) ได้ช่วง Q1/62 (ช่วงที่มีการเลือกตั้งในปี 62) รายได้รวมอยู่ที่ 2.08 แสนล้านบาท (+0.8%QoQ +10.4%YoY) จากข้อมูลเบื้องต้นพอตีความได้ว่าช่วงเลือกตั้งได้มีเม็ดเงินสะพัดลงไปจนทำให้รายได้มีการขยายตัวเล็กน้อย (YoY เรามิได้ให้น้ำหนักมากนักเนื่องจากบริษัทต่างๆ อาจมีการขยายสาขาหนุนรายได้ขยายตัวขึ้น) เชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางถึงยาวยังเน้นสะสมเช่นเดิม เน้นหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำ (ADVANC AOT CPALL HMPRO MINT) ส่วน Trading แนะนำ ศูนย์การค้า (CPN) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK SCB TTB TISCO) ค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) โรงพยาบาล (BDMS) รับเหมา (CK STEC)

KBANK (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 170.00 บาท) เล็งเห็นโอกาสที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะลดลงหลังการระบายงบดุลสิ้นสุดลงในปี 2023 คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะค่อยๆ ลดลงเป็น 200/180/160bps ในปี 2023-25 ตามลำดับ เราจึงคงมองว่ากำไรสุทธิของ KBANK จะพลิกเป็นบวกระดับ 16% ในปี 2023 และ 15% ในปี 2024-25

CPALL (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 72.00 บาท) เลือก CPALL เป็นหุ้นเด่นเหนือตัวอื่นเพราะคาดว่าจะมี SSSG ที่สูงสุดของกลุ่มในช่วงครึ่งแรกปี 2023 หนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัว และการเลือกตั้งในไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น