หุ้นไทยปิดตลาดร่วง -8.22 จุด โบรกฯ เผยแรงกดดันจากฐานะการเงินแบงก์ทั่วโลกเข้ามากดดันภาคตลาดทุน ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลง โดยเฉพาะประเด็นการรับผลขาดทุนจากการถือตราสารหนี้ พรุ่งนี้คาดตลาดยังผันผวน แต่มุมบวกยังมีข่าวการยุบสภาเข้ามาช่วยประคองตลาดไม่ให้ปรับตัวลดลงแรงมาก แนะจับตาประเด็นการประชุมเฟดสัปดาห์นี้ โดยประเมินแนวรับที่ 1,540 จุด และแนวต้านที่ 1,565-1,570 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 20 มีนาคม 2566 ปรับตัวลดลง -8.22 จุด หรือ -0.53% โดยปิดตลาดที่ 1,555.45 จุด มูลค่าการซื้อขาย 62,843.04 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก จากความกังวลภาคการเงินและธุรกิจธนาคาร โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,569.76 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,543.47 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 482 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 387 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 1,148 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +3,493.18 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +154.46 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -3,480.83 ล้านบาท และ บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -166.81 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,656.24 ล้านบาท ปิดที่ 129.50 บาท ลดลง 2.50 บาท
2.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,368.39 ล้านบาท ปิดที่ 980.00 บาท ลดลง 16.00 บาท
3.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 2,046.87 ล้านบาท ปิดที่ 136.00 บาท ลดลง 4.50 บาท
4.ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,943.92 ล้านบาท ปิดที่ 209.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท
5.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,810.69 ล้านบาท ปิดที่ 61.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.ADVANC ปิดที่209.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ 1.46%
2.JMART ปิดที่ 23.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.90บาท หรือ 4.02%
3.RCLปิดที่28.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาท หรือ 2.73%
4.SCGP ปิดที่46.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75บาท หรือ 1.63%
5.MEGAปิดที่44.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.14%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่980.00 บาท ลดลง 16.00 บาท หรือ 1.61%
2.PTTEPปิดที่136.00บาท ลดลง 4.50บาท หรือ 3.20%
3.BBLปิดที่150.50บาท ลดลง 3.00บาท หรือ 1.95%
4.KBANKปิดที่129.50บาท ลดลง 2.50บาท หรือ 1.89%
5.BHปิดที่211.00บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 0.94%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,092.58 จุด ลดลง -14.70 จุด หรือ -0.70% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 933.94 จุด ลดลง -6.46 จุด หรือ -0.69% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 526.61 จุด ลดลง -11.66 จุด หรือ -2.17%
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียหลังจากตลาดหุ้นยุโรปเปิดทำการปรับตัวลดลง โดยเฉพาะหุ้นแบงก์ร่วงแรง เครดิตสวิส ดิ่งลง 62% และหุ้น UBS ร่วง 14% ส่วนหุ้นแบงก์อื่นๆ ก็ปรับตัวลงไป 5-6%
สาเหตุหลักมาจากการ write off ตราสารหนี้ของธนาคารเครดิตสวิส ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่สามารถแปลงหนี้เป็นหุ้น และนับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Additional 1:AT1) มูลค่า 1.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐถูกตัดเป็นศูนย์ และยังมีธนาคารอื่นในยุโรปที่มีตราสารหนี้ประเภทนี้ นักลงทุนกลัวว่าจะเป็นปัญหากลายเป็นโดมิโนจากความเสี่ยงในการถือตราสารหนี้ AT1 ส่งผลให้ช่วงบ่ายตลาดหุ้นยุโรปผันผวน และส่งผลมาถึงตลาดเอเชียเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยบวกเรื่องยุบสภา ทำให้จากที่ดัชนีลงไปลึกถึง 20 จุดหลังจากประกาศยุบสภาจึงเด้งขึ้นมาลดช่วงลบไปได้บ้าง ส่วนแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ คาดว่าตลาดยังมีความผันผวนอยู่ แต่มองว่าจะเป็นภาพระยะสั้นกรณีที่ตราสารหนี้กลับมามีความเสี่ยงมากกว่าหุ้น แต่เชื่อว่าสุดท้ายเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น และผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 21-22 มี.ค.น่าจะทำให้ ความกังวลทิศทางนโยบายการเงินคลี่คลาย และคาดว่าเฟดจะพูดถึงความแข็งแกร่งของระบบธนาคาร ความเสี่ยงต่างๆ และปัญหาของธนาคารน่าจะสกัดได้ ดังนั้น แนะนำให้ลงทุนช่วงก่อนประชุมเฟดเพราะมองโอกาสตลาดจะรับข้อมูลทางบวกและจะทำให้ตลาดดีขึ้น โดยมองแนวรับที่ 1,540 จุด และแนวต้านที่ 1,565-1,570 จุด