ยังพอเห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” อยู่มั่ง!!!...แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี สำหรับ “สันติภาพ” ของโลก หรือของการหาทางออกทางลง ในกรณีความขัดแย้งยูเครน ไม่ได้ถึงกับมืดมนอนธการไปซะทั้งหมด โดยเฉพาะสำหรับข่าวคราวความเคลื่อนไหวระลอกแล้ว ระลอกเล่า ของบรรดาผู้คนพลเมืองในยุโรป ที่ต่างอยู่ภายใต้ระบอบปกครอง “ประชาธิปไตย” อันมีสโลแกน คำขวัญแบบเท่ๆ เก๋ๆ ว่า “ของประชาชน-โดยประชาชน-และเพื่อประชาชน” นั่นแล...
แต่อาจด้วยเหตุเพราะความเป็นประชาธิปไตยในบรรดาประเทศแม่แบบประชาธิปไตยทั้งหลาย...มันดันกลายเป็น “ประชาธิป...ตาย” มานานแล้ว ไม่ว่าประชาธิปไตยอเมริกา ประชาธิปไตยอังกฤษ ประชาธิปไตยฝรั่งเศส ฯลฯ ก็เถอะ คือกลายเป็นประชาธิปไตย “ของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า” ที่อยู่ภายใต้การควบคุม บังคับของบรรดา “นายทุน” ระดับประเทศและระดับโลกทั้งหลาย เป็นประชาธิปไตยภายใต้ทุนนิยมเสรี ที่สามารถกอบโกยกำไรกันในรูปไหน แบบไหน ก็ย่อมได้ จนทำให้ “รัฐบาล” ใดๆ ก็ตาม ต้องหันไปพึ่งพาพ่อค้า หรือนายทุน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่อาจควบคุม บังคับ เสรีภาพของนายทุน ของพวกพ่อค้า ได้เหมือนอย่างที่ประเทศคอมมิวนิสต์หรือ “ทุนนิยมเผด็จการ” ของเมืองจีน เขาเล่นงานคุณพี่ “แจ๊ค หม่า” ให้ต้องกลายสภาพเป็น “แจ๊ค หมา” ได้แบบง่ายๆ สบายๆ บรรดารัฐบาลในประเทศประชาธิปไตยและทุนนิยมเสรีทั้งหลาย เลยต้องกลายสภาพเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับอำนาจของทุน ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลแทบทุกรัฐบาล แม้แต่รัฐบาลไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่กำลังเข่นเขี้ยวกันระหว่าง “บิ๊กตู่” “บิ๊กป้อม” “บิ๊กอุ๊งอิ๊ง” “บิ๊กหนู” ฯลฯ หรือบิ๊กอะไรต่อมิอะไรก็ตามที...
ดังนั้น...สิ่งที่รัฐบาลแต่ละรัฐบาลปรารถนาและต้องการ มันเลยออกจะ “สวนทาง” กับอารมณ์-ความรู้สึกของผู้คนพลเมืองหรือของ “ปวงชน” ภายในประเทศตัวเอง อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรณีการหาทางออก-ทางไปต่อวิกฤตความขัดแย้งในยูเครน ที่กำลังใกล้จะกลายเป็นความพังพินาศ ฉิบหาย ของโลกทั้งโลก ระดับหวีดหวิว ฉิวเฉียดใกล้ๆ จะกลายเป็น “สงครามโลก” หรือแม้กระทั่ง “สงครามนิวเคลียร์” ยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุนี้...บรรดาผู้คน พลเมือง ในประเทศแม่แบบประชาธิปไตยรายแล้ว รายเล่า จึงอดรนทนไม่ได้ ต้องแห่ออกมา “ลงถนน” กันเป็นสายๆ ไม่ว่าในฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ฯลฯ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เยอรมนีนั้น...เห็นว่านับเป็นแสนๆ คน หรือเฉพาะที่ร่วมลงชื่อคัดค้าน ปฏิเสธ การส่งมอบอาวุธให้กับกองทัพยูเครนไปเข่นฆ่ากับทหารรัสเซีย ก็ปาเข้าไประดับ “ครึ่งล้านคน” (496,008) คน เอาเลยถึงขั้นนั้น ช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 ก.พ.) ชาวไส้กรอกเยอรมันไม่น้อยกว่า50,000 คน ยังออกมาออกันหน้าประตู “Brandenburg” ชูป้ายแต่ละป้าย ไม่ว่า “สร้างสันติภาพโดยไม่ต้องติดอาวุธ” (Make Peace Without Weapon) หรือ “ใช้วิธีทางการทูตแทนที่จะส่งมอบอาวุธ” (Diplomacy Instead of Arms) ฯลฯ รวมทั้งยังหันไปด่าพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรค “กรีน” ที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากแนวคิดด้านสันติภาพ แต่กลับหันไปกระเหี้ยนกระหือรือ ทั้งยุ ทั้งเชียร์ ให้รัฐบาลตัวเอง ส่งมอบอาวุธร้ายๆ ให้กองทัพยูเครน จนรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีถึงกับต้องลาออกไปเมื่อไม่นานมานี้ ไปจนถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของพรรคดังกล่าว ที่น็อตหลุด น็อตหลวม ถึงขั้นประกาศว่า “อียูกำลังทำสงครามกับรัสเซีย” เลยต้องหันมาสารภาพผิดแทนที่จะตัดสินใจลาออกไปตามคำเรียกร้องของใครต่อใครกันแทนที่...
ส่วนอิตาลีนั้น...เห็นว่าชาวมักกะโรนีในแต่ละเมือง ไม่ว่าโรม เจนัว ปิซา มิลาน ฟลอเรนซ์ เลซเซ ฯลฯ ต่างต้องออกมากดดันรัฐบาลตัวเอง ให้เลิกทำตัวเป็น “พรมเช็ดเท้า” ให้กับอเมริกา ให้กับ “ตัวตลก-ตัวแทน” ในยูเครนกันโดยถ้วนหน้า เมื่อช่วงวันเสาร์ (25 ก.พ.) ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับที่ฝรั่งเศส ผู้คนนับพัน นับหมื่น ออกมาชุมนุมที่กรุงปารีสในลักษณะที่ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ หรือถึงขั้นเรียกร้องให้ฝรั่งเศส “ถอนตัว” ออกจาก “นาโต” เอาเลยถึงขั้นนั้น แม้แต่ในอเมริกา อย่างที่เคยว่าๆ กันไปแล้ว ขบวนการต่อต้านสงครามที่ชูคำขวัญว่า “Rage Against The War Machine” ภายใต้การนำของอดีตผู้เคยรับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครต อย่าง “นางTulsi Gabbard” อดีตวุฒิสมาชิก “Ron Paul” ฯลฯ และใครต่อใครอีกเยอะแยะมากมาย ต่างหันมาปฏิเสธ คัดค้าน รัฐบาลตัวเอง อย่างเอาจริง-เอาจัง ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และก็คงไม่ใช่แค่เฉพาะบรรดากลุ่มคนเหล่านี้เท่านั้น หรืออย่างที่ประธานพรรคกลุ่มปฏิรูปประชาธิปไตยทางเลือก (The Alternative Democratic Reform Party) แห่งเยอรมนี “นายFernand Kartheiser” เขาสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า “ไม่ว่ารัฐบาลต่างๆ ในยุโรป เช่นฮังการี โครเอเชีย และอีกหลายต่อหลายราย ที่ต่างไม่เห็นด้วยกับอียู แม้จะไม่กล้าออกมาต่อต้านโดยตรง หรือโดยเปิดเผย แต่ล้วนได้แสดงท่าทีที่ไม่ได้แตกต่างไปจากประชาชนในฝรั่งเศส เยอรมนี ไม่ว่าฝ่ายขวา-ฝ่ายซ้าย ฝ่ายศาสนา นักวิชาการ ทหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังพยายามกดดันรัฐบาลตัวเองอยู่ในทุกวันนี้”...
สำหรับฮังการี...ของนายกรัฐมนตรี “Viktor Orban” นั้น ค่อนข้างชัดเจนโดยไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามอีกต่อไป คือแม้จะต้องตามแห่ ตามเฮ ร่วมลงมติประณามรัสเซีย เรียกร้องให้ถอนทหารออกจากยูเครน เช่นเดียวกับ 143 ประเทศ หรือเช่นเดียวกับ “นักลื่นไหล” อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็ตาม แต่ในการประชุมรัฐสภาเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 ก.พ.) ผู้นำฮังการีรายนี้ ท่านได้เปิดอก-เปิดใจระหว่างการอภิปรายร่วมครึ่งชั่วโมง ว่าฮังการีพร้อมสนับสนุน “แผนสันติภาพ” ของจีน อันได้แก่ข้อเรียกร้อง 12 ข้อ ไม่ว่าการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ การละทิ้งแนวคิดยุคสงครามเย็น การหยุดยั้งความรุนแรง การหันมาฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพ ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรที่พอทราบๆ กันไปแล้ว ด้วยเหตุนี้...ถึงแม้ว่าเสียงส่วนใหญ่ในสหประชาชาติ จะ “เอาตัวรอด-ปลอดภัย” เข้าไว้ก่อน แต่นั่นย่อมไม่ได้หมายถึงการเห็นดี-เห็นงาม เห็นควรด้วย กับคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกต่อความพยายามบดขยี้รัสเซีย หรือ “ฉีกรัสเซีย” ออกไปเป็นชิ้นๆ แต่อย่างใด แนวโน้มของการหันกลับมาแสวงหาหนทางในการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” หรือหันกลับมาหา “สันติภาพ” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ...
ดังนั้น...ในระหว่างที่ข่าวคราวความเคลื่อนไหว ระดับที่คอลัมนิสต์แห่ง “เอเชียไทมส์” อย่าง “นายBrandon J. Weichert” ถึงกับต้องสรุปเอาไว้ว่า “World War 3 is Already Here” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานำมาเผยแพร่ไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ประมาณว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเราแล้ว” ทำนองนั้น แต่ก็ยังพอมีข่าวคราวในทางบวกแทรกซ้อนพอให้เห็นเป็นกระสายอยู่เป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ เช่นข่าวคราวล่าสุดที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ ของเยอรมนี (Bild) อ้าง “แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้” ระบุไว้ว่า บรรดารัฐบาลยุโรปหลายต่อหลายราย กำลัง “กำหนดเส้นตาย” ให้กับรัฐบาลยูเครน ว่าถ้าหากยังไม่สามารถยึดดินแดนต่างๆ จากรัสเซียกลับคืนมาได้ ดังที่ “สมรักษ์ คำสิงห์” หรือที่คุยโม้ คุยโตเอาไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ก็คงต้องถึงเวลาแล้ว...ที่จะต้องหวนกลับมา “นั่งโต๊ะเจรจากับรัสเซีย” ภายในปีนี้อย่างมิอาจปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย แทบไม่เหลือ “อาวุธ” ติดอยู่ในคลังของแต่ละประเทศ แถมยังต้องเจอภาวะ “เงินเฟ้อ” ชนิดใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่ กันไปเป็นประเทศๆ แม้แต่คุณพ่ออเมริกาก็เถอะ ไม่ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ยังมิอาจลด “อันตราย” จากภาวะเงินเฟ้อได้มากมายสักเท่าไหร่นัก ส่งผลให้ตลาดหุ้น ตลาดทุนในอเมริกา กลายสภาพเป็น “Death Zone” เอาเลยถึงขั้นนั้น ดังที่บรรษัทการเงิน-การทอง อย่าง “Morgan Stanley” เขาได้ให้คำจำกัดความเอาไว้เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแล...
สรุปรวมความแล้ว...อย่างน้อย มันก็ยังพอมี “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” สำหรับสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่อาจต้องอาศัย “เวลา” อาจต้องอาศัยการ “ตกผลึก” ทางความคิด-ความเห็น ทาง “จิตสำนึก” ของบรรดาพลโลกทั้งหลาย ไม่ว่าจะปกครองกันด้วยระบบ-ระบอบใดๆ ก็แล้วแต่ หรือโดยระยะเวลานั้นค่อนข้าง “เป็นใจ” ให้กับฝ่ายที่ปรารถนาและต้องการ “สันติภาพ” มากกว่าที่จะโน้มเอียงไปยังผู้ปรารถนา ผู้กระเหี้ยนกระหือรือต่อ “สงคราม” ด้วยเหตุนี้...ก็อย่าถึงกับต้องไปหมดเรี่ยว หมดแรง ระทดท้อ ห่อเหี่ยว กับความเป็นไปของโลกมากมายสักเท่าไหร่นัก อย่างน้อย...ก็ยังพอมีเวลา “กัดกัน” อีกเยอะ โดยเฉพาะสำหรับบรรดา “นักเลือกตั้ง” ในประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย เพราะฉะนั้น...เอาเลย!!! ไม่ว่า “บิ๊กตู่” “บิ๊กป้อม” “บิ๊กอุ๊งอิ๊ง” หรือ “บิ๊กหนู” ฯลฯ ที่ยังสามารถ “กัดกันโดยเสรี” ได้อีกหลายต่อหลายยก...