สุดท้าย...แผ่นดินไหวครั้งใหม่ที่ซีเรีย-ตุรเคีย ตามที่ผู้เชี่ยวชาญเขาได้เตือนๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า ก็อุบัติขึ้นมาจนได้!!! คราวนี้จะต้องโศรกเศร้าเคล้าน้ำตากันอีกขนาดไหน ก็ยังมิอาจสรุปได้ ดังนั้น...เอาเป็นว่า ไหนๆ ก็ได้ว่ากันถึงเรื่องแนวรบยุโรปตะวันออกมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ปิดฉากอาทิตย์นี้เลยคงต้องขออนุญาตตามไป “อัปเดต” ความเคลื่อนไหวของเรื่องราวดังกล่าว ที่ออกจะน่าห่วงใย น่าหวาดหวั่นขวัญสยอง ไม่น้อยไปกว่ากัน อย่างน้อย...ก็อาจถือเป็นการ “ชั่งน้ำหนัก” ระหว่างฝ่ายที่ปรารถนาจะได้มาซึ่ง “สันติภาพ” กับฝ่ายที่กระเหี้ยนกระหืออยากจะทำ “สงคราม” ให้ต้องฉิบหายวายวอด กันไปข้าง ว่าเอาไป-เอามาแล้วโดยแนวโน้ม...มันน่าจะหนักไปในด้านไหน???
คือว่าไปแล้ว...ฝ่ายที่แสดงออก ที่ประกาศตัวว่าปรารถนา “สันติภาพ” ไว้ค่อนข้างชัดเจน อย่างพญามังกรจีน หรือคุณพี่จีน เขาดูจะพยายามทุ่มทุน ทุ่มเท มิใช่น้อย ในการหาข้อยุติ หาจุดลงตัว ให้กับกรณีความขัดแย้งในยูเครน แบบจริงๆ-จังๆ ถึงขั้นผู้ที่มีฐานะ ตำแหน่ง ระดับหนึ่งในโปลิตบูโรคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และผู้อำนวยการบริหารกิจการต่างประเทศ หรือยิ่งไปกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศธรรมดาๆ อย่าง “นายWang Yi” ท่านอุตส่าห์ลงทุนออก “เดินสาย” ไปเยือนฝรั่งเศส อิตาลี ฮังการี และปิดท้ายที่รัสเซีย ระหว่างวันที่ 14-22 ก.พ.นี้ แถมยังได้ไปปรากฏกายร่วมประชุมในเวทีประชุม “The Munich Security Conference” พร้อมประกาศจะเสนอ “แผนสันติภาพ” ให้กับการหาข้อยุติ หาจุดลงตัว ในกรณีดังกล่าว อย่างกระตือรือร้นเอามากๆ อาจด้วยเหตุเพราะฝ่ายจีนเขาออกจะรู้สึกอย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรายใหม่ “นายQin Gang” ท่านได้ออกมาเปิดอก-เปิดใจ เมื่อวัน-สองวันมานี้นั่นแหละว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนหรือรัสเซียกับอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกก็ตามแต่ มันอาจ “ไปไกล” ถึงขั้น “ควบคุมไม่ได้” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ เรียกว่าไม่ใช่แค่ไปไกลระดับ “สงครามโลกครั้งที่ 3” เท่านั้น แต่อาจถึงขั้น “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
อย่างไรก็ตาม...ถึงฝ่ายปรารถนา “สันติภาพ” จะเพียรพยายามครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่ว่าโดย “คนกลาง” อย่างตุรกี หรืออดีตผู้นำอิสราเอลก็ตามที ชนิดใกล้ๆ บรรลุเป้าหมายแห่งการเจรจา การประนีประนอมยอมความได้มั่งแล้ว แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับผู้กระหาย “สงคราม” อย่างอดีตนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิงแห่งอังกฤษ “นายBoris Johnson” สุนัขพูเดิลของคุณพ่ออเมริกา ที่หนังสือพิมพ์ยูเครนเองระบุไว้ว่า คือผู้ที่มีส่วนกระตุ้นอย่างแรง ให้ตัวแทนของฝ่ายยูเครน สะบัดตูด สะบัดทวาร ออกจากโต๊ะเจรจา หลังจากนั้น...ก็หันมาตั้งข้อแม้ว่าจะทวงคืนดินแดนทุกตารางนิ้ว รวมทั้ง “พื้นที่เส้นแดง” อย่างแหลมไครเมียจากหมีขาวรัสเซียให้จงได้ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยเป็นอันต้องฉิบหายวายวอดต่อ จนกว่า “เลือดหยดสุดท้าย” ของชาวยูเครนจะหมดไปจากร่าง หรือจนกว่าจะสิ้นชาติ สิ้นประเทศ หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน...
ดังนั้น...แม้ว่าคุณพี่จีนเขาจะพยายามทุ่มทุน ทุ่มเทถึงขั้นไหน แต่ดูเหมือนว่าผู้กระหายสงครามอย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกดูจะไม่ถึงกับรู้สึก-รู้สามากมายสักเท่าไหร่นัก มิหนำซ้ำรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายAntony Blinken” ยังออกมา “ขู่ฟ่อดๆ” ห้ามไม่ให้จีนคิดส่งอาวุธร้ายแรงให้กับหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรัสเซียซะอีกต่างหาก ไม่ต่างไปจากตัวตลก-ตัวแทน อย่าง “นายVolodymyr Zelensky” ประธานาธิบดียูเครน ที่ขู่ถึงขั้นว่าจีนอาจหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “สงครามโลกครั้งที่ 3” เอาเลยถึงขั้นนั้น อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้ค่อนข้างยากส์ส์ส์เอามากๆ ต่อการหาทาง “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ภายในโลกใบนี้ ที่มีอยู่เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น...
แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองความเคลื่อนไหว ความเป็นไปของโลก คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า “โลกแทบทั้งโลก” ดูจะไม่ได้คิดเดินตามอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ที่พยายามฉุดกระชากลากถูใครต่อใครให้ต้องเป็น “ศัตรู” กับรัสเซียเหมือนอย่าง “ตัวกูเอง” เอาเลยแม้แต่น้อย อย่างเช่นในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำแอฟริกาหรือ “African Union Summit” เมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกจากบรรดาตัวแทนชาติแอฟริกาทั้งหลายจะแสดงออกถึงความร่วมมือ-ร่วมไม้กับผู้นำรัสเซียในเวทีประชุม “Russia-Africa” แบบใกล้ชิดติดพันเอามากๆ รวมทั้งการเดินสายของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ไปเยือนอียิปต์ เอธิโอเปีย ยูกันดา สาธารณรัฐคองโก แอฟริกาใต้ เอริเทรีย และเอสวาตินี ที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจนแทบไม่ต้องเสียเวลาเปิดแอร์ โดยคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีต่างประเทศยูกันดา “นายJeje Odongo” ยังอาจถือเป็นการ “ตบหน้า” ฉาดใหญ่ ไม่ว่าต่ออเมริกาหรือพันธมิตรตะวันตก แบบชนิดน่าจะหน้าชา หน้าแหก เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “แม้ว่าเราเคยต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกนักล่าอาณานิคม และเราก็ให้อภัยพวกเขาไปแล้ว แต่ขณะนี้พวกนักล่าอาณานิคมเหล่านี้กลับมาขอร้องให้เราเป็นศัตรูกับรัสเซีย ที่ไม่เคยคิดจะเอาพวกเราเป็นอาณานิคมของเขาแม้แต่น้อย แล้วมันจะยุติธรรมหรือไม่??? ดังนั้น...เอาเป็นว่าศัตรูของพวกคุณก็คือศัตรูของคุณ ส่วนเพื่อนของเราก็คือเพื่อนของเรา” หรือสรุปอย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศเขาพาดหัวข่าวเอาไว้นั่นแหละว่า “ยูกันดาจะไม่ยอมเชื่อฟังต่อแรงกดดันของพวกอดีตนักล่าอาณานิคมตะวันตกที่พยายามกระตุ้นให้ต่อต้านรัสเซีย” อะไรประมาณนั้น...
ส่วน “ละตินอเมริกา” ก็คงไม่ต่างไปจากกันมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อบรรดา “รัฐบาลฝ่ายซ้าย” หรือฝ่ายที่ไม่ค่อยจะเห็นควรด้วยกับคุณพ่ออเมริกา ต่างผงาดขึ้นมาเป็นแถบๆ ยิ่งแถบ “ตะวันออกกลาง” ยิ่งเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อพี่เบิ้มรายใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย ทำท่าว่าจะ “ถีบหัวเรือส่ง” โดยไม่ใช่แค่หันไปทำข้อตกลงทางการค้า-การขายและการอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายกับคุณพี่จีนในช่วงระยะยาวถึง 20 ปี วัน-สองวันก่อนท่านเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำซาอุฯ “นายSergei Kozlov” ท่านก็เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Sputnik” แบบชื่นมื่น ชื่นสะดือ เป็นอันมาก ว่าระดับความสัมพันธ์ระหว่าง “รัสเซีย-ซาอุฯ” ใกล้จะบรรลุถึงซึ่งความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นั่นหมายถึงความสัมพันธ์ด้านการทหารควบคู่ไปด้วย...
สำหรับในเอเชีย...นอกเหนือไปจากความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างจีน-รัสเซีย ที่ยากจะโยก จะคลอน ได้ง่ายๆ แม้แต่หนึ่งในประเทศพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก อย่างคุณปู่อินตะระเดียที่ใกล้ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ไม่ว่าจะถูกกด ถูกดัน ให้ต่อต้านรัสเซียสักเพียงไหน แต่ถ้าฟังจากรายงานข่าวของสำนักข่าว “Nikkei Asia News” ที่อ้างตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์อินเดียครั้งล่าสุด ระบุว่าในปีที่ผ่านมา หรือในช่วงที่การเล่นงานหมีขาวรัสเซียโดยโลกตะวันตกเป็นไปอย่างถึงพริก-ถึงขิง แต่ปรากฏว่าการ “นำเข้า” สินค้ารัสเซียของอินเดีย กลับเพิ่มขึ้นเกือบ 400 เปอร์เซ็นต์ หรือจาก 7.7 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็น 37,310 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...โลกแทบทั้งโลกทุกวันนี้ ไม่ได้เห็นดี-เห็นงามกับคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรอียู-อีย้วย เอาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ผู้คนในอเมริกาและประเทศยุโรปทั้งหลายก็เถอะ ในเยอรมนีที่ประธานสถาบัน “DIW Berlin” (The German Institute for Economic Research) อย่าง “นายMarcel Fratzscher” เพิ่งออกมาเปิดเผยว่าเยอรมนีต้องสูญเสียรายได้ไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านยูโรเพราะการต่อต้านรัสเซียของอียู ตามคำอ้างของพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย (Die Linke) ที่ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเพื่อต่อต้าน ปฏิเสธ แนวนโยบายของรัฐบาล “นายOlaf Scholz” ในการส่งอาวุธและความช่วยเหลือต่างๆ ให้ยูเครน ระบุว่าชาวเยอรมันกว่าครึ่งประเทศต้องการที่จะให้เจรจาสันติภาพกับรัสเซียโดยเร็ว จริง-ไม่จริงก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ...ผู้ที่ร่วมลงชื่อในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ มีจำนวนเกือบครึ่งล้าน หรือ 496,008 รายเอาเลยถึงขั้นนั้น ขณะที่ฮังการีที่นายกรัฐมนตรี “Viktor Orban” ออกมาเปิดเผยด้วยตัวเองถึงความสูญเสียคิดเป็นเงินๆ-ทองๆ ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านยูโร จนถึงกับต้องสรุปว่า “ศัตรูที่แท้จริง” ของชาวยุโรปก็คือบรรดาผู้นำชาติอียู-อีย้วยทั้งหลายนี่เองที่มุ่งแต่จะต่อสู้กับรัสเซีย แต่กลับไม่คิดจะต่อสู้ “ภาวะเงินเฟ้อ” ซึ่งกำลังแพร่กระจายไม่ต่างไปจากโรคระบาดเอาเลยก็ว่าได้...
ส่วนหัวโจกอย่างคุณพ่ออเมริกา...เห็นว่ากำลังเริ่มๆ ขึ้นมามั่งแล้ว สำหรับการต่อต้านผู้กระหายสงคราม ด้วยการชูคำขวัญ “Rage Against The War Machine” และเริ่มเกาะกลุ่มลงถนนเดินขบวนไปยังทำเนียบขาว ภายใต้การนำของผู้ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานาธิบดีแห่งพรรคเดโมแครตเองนั่นแหละ คือ “นางTulsi Gabbard” ลูกครึ่งอเมริกัน-ซามัวจากรัฐฮาวาย โดยมีอดีตวุฒิสมาชิกอย่าง “นายRon Paul” และนักแสดงอย่าง “Jimmy Dore” ฯลฯ ร่วมด้วยช่วยกัน เรียกร้องให้ “อย่าให้เงินเพิ่มแม้แต่เพนนีเดียวสำหรับสงครามยูเครน” (Not one more penny for war in Ukraine)...
แต่ก็อย่างว่า...บรรดาเสียงเรียกร้อง หรือความเป็นไปของกระแสโลกเช่นนี้ จะมีโอกาสเข้าหู เข้าหำ ผู้นำอเมริกาอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังยากที่จะสรุปได้ เพราะขนาด “นักข่าวแห่งตำนาน” ที่อาเฮีย “สนธิ ลิ้มฯ” ท่านได้แจกแจงไว้ในรายการทีวีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่าง “นายSeymour Hersh” ผู้นำเรื่องอเมริกาเป็นผู้ระเบิดท่อแก๊สเยอรมนี-รัสเซีย มาเปิดโปงให้เห็นกันจะจะ และผู้ที่เชื่อว่า...การแทงไพ่ว่ายูเครนจะได้รับชัยชนะในแนวรบยุโรปตะวันออกก็คือการ “ฆ่าตัวตาย” ดีๆ นี่เอง ยังอดไม่ได้ที่จะรำพึง รำพัน กับสำนักข่าว “Consortium News” เมื่อช่วงวันศุกร์ (17 ก.พ.) ที่ผ่านมาประมาณว่า “รัฐบาลโจ ไบเดน ได้สร้างความผิดพลาดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนยากที่จะเชื่อว่าทำไมเราถึงได้มีผู้นำที่...โง่...ไปได้ถึงปานนั้น” อันนี้นี่เอง...ที่เลยทำให้ความปรารถนาที่จะได้มาซึ่ง “สันติภาพ” ไม่ใช่ “สงคราม” จึงเป็นอะไรที่ยากเย็น แสนเข็ญ เสียเหลือเกิน!!!