ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดูการประชุมประจำปีของพวก “อีลิทโลก” เขาไว้สักหน่อย!!! หรือการประชุม “World Economic Forum” (WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงวันที่ 16-20 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ต้องเรียกว่า ออกจะเป็นอะไรที่ “แบบแห้งง์ง์ง์” เอามากๆ ต่างไปจากการประชุมเมื่อครั้งอดีต ตลอดช่วง 50 กว่าปีที่แล้ว ถึงขั้นบรรดาพวกนักสังเกตการณ์ต่างประเทศทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะต้องอุทานออกมาดังๆ ประมาณว่า “ดาวอส...ตายแล้ว!!!” (Davos is Dead) หรือ “โลกาภิวัตน์...ตายแล้ว!!!” (Globalization is Dead) เอาเลยถึงขั้นนั้น...
คือการประชุม “World Economic Forum” หรือ “WEF” นั้น ถือเป็นเวทีประชุมที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว หรือช่วงปี ค.ศ.1971 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้มีนามกรว่า “นายKlaus Schwab” ที่มีแนวคิดหนักไปทางพวก “เสรีนิยมใหม่” หรือผู้สนับสนุน “โลกาภิวัตน์” ที่ถูกขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรีตัวฉกาจอย่างชนิดขยันขันแข็งเอามากๆ โดยมีการระดมบรรดาพวกนักธุรกิจระดับข้ามชาติ ข้ามโลกทั้งหลาย บรรดานักการเมืองระดับผู้นำโลก ผู้นำประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ตลอดไปจนพวกนักคิด นักวิชาการ ที่หนักไปทางพวกลิเบอร่าน หรือ “เสรีนิยม” แบบสุดๆ ฯลฯ เข้ามาพบปะ เจ๊าะแจ๊ะเจรจาหารือกันในแต่ละปี จนอาจถือเป็นเวทีแห่งการขับเคลื่อนโลกทั้งโลก ให้เป็นไปตามทิศทาง แนวทางที่บรรดากลุ่มคนเหล่านี้ปรารถนาและต้องการ ชนิดไม่ต่างไปจากที่ปรึกษา “รัฐบาลโลก” โดยกลายๆทำนองนั้น...
แต่ท่ามกลางความเป็นไปของโลกที่มันชักจะ “ไม่เหมือนเดิม” อีกต่อไปแล้ว!!! จากบรรยากาศการประชุมที่เคยคึกๆ คักๆ กระเหี้ยนกระหือรือแบบสุดๆ ไปเลย บรรดาผู้นำโลก ผู้นำประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในแต่ละราย ไม่ว่าในอเมริกา ยุโรป เอเชีย ฯลฯ ต่างต้องกรูเข้ามาเพื่อรับรู้ รับทราบ หรือเพื่อขออนุญาตแสดงความคิด ความเห็นใดๆ ก็ตามที แต่มาคราวนี้หรือการประชุมปีนี้ กลับเหลืออยู่เพียงแค่ผู้นำประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจแห่งยุโรปรายเดียว นั่นคือ “นายOlaf Scholz” แห่งเยอรมนี ที่ยังอุตส่าห์ถ่อมาปรากฏกาย โชว์หัวล้าน หัวเหม่ง อย่างชนิดแห้งแล้งและจืดชืดเอามากๆ หรือก่อให้เกิดบรรยากาศแบบเดียวที่ “นายMorris Chang” ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิต “ชิป” รายใหญ่ของโลก อย่างบริษัท “TSMC” เคยพูดๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้ไม่นานว่า...โลกาภิวัตน์ได้ตายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หรือใกล้ตายเต็มที อย่างมิอาจหวนคืนกลับมาได้อีกเลย และนั่นเองที่ส่งผลให้การประชุม “WEF” เลยต้องมีอัน “แบบแห้งง์ง์ง์” จืดชืด จืดสนิทพอๆ กับ “น้ำล้างหัวล้าน” ไปจนได้...
อันที่จริง...โลกาภิวัตน์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยพวกเสรีนิยมใหม่ อย่าง “WEF” นั้น ก็เคยถูกต่อต้าน ถูกปฏิเสธมาแล้วหลายครั้งหลายหน นับตั้งแต่ช่วงครบรอบสหัสวรรษที่แล้วเป็นต้นมา หรือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 ชนิดที่ก่อให้เกิดการปะทะ ขัดแย้ง ระดับที่พวกฮอลลีวูดต้องหยิบไปสร้างเป็นหนัง เป็นภาพยนตร์ออกมาฉาย หรือที่รู้จักกันในนาม “การปะทะที่ซีแอตเติล” (The Battle of Seattle) เมื่อบรรดาผู้คนทั่วทั้งโลกที่ไม่พึงพอใจต่อบทบาทของบรรดา “บรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลาย ที่อาศัยกระแสโลกาภิวัตน์เข้าไปแทรกแซง ครอบงำ และครอบครองผลประโยชน์จากประเทศต่างๆ ทั่วทั้งโลก เข้าไปเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ เพื่อให้เกิดช่อง เกิดโอกาสสำหรับการแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองให้มากๆ เข้าไว้ ไม่ว่าด้วยการไปรเวไทเซชั่น การลดทอนอำนาจรัฐชาติแต่ละแห่ง การทำลายอัตลักษณ์ เอกลักษณ์ ของแต่ละชาติเพื่อให้บรรดาผู้บริโภคทั้งหลายกลายเป็น “ผู้บริโภคสากล” ให้จงได้ โดยอาศัยอำนาจ อิทธิพลของ “ทุน” ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยเสรีและโดยอาศัยการครอบงำ การมีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังบรรดานักการเมืองและรัฐบาลในแต่ละประเทศ...ฯลฯ
สิ่งที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์” ตามแบบฉบับพวก “WEF” ทั้งหลาย จึงมักถูกเรียกขานกันในนาม “โลกาภิวัตน์จากด้านบน” ที่มุ่งจะให้โลกทั้งโลกเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของคนส่วนน้อย หรือพวก “อีลิท” ที่อาจมีอยู่เพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ครอบครองผลประโยชน์ของโลกทั้งโลกกว่า 60-70-80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้...เลยต้องเจอกับการรวมกลุ่ม รวมตัว ของบรรดาพวก “โลกาภิวัตน์จากด้านล่าง” หรือเจอเข้ากับบรรดาองค์กรเอกชนทั่วทั้งโลกที่พยายามผนึกกำลัง รวมตัว สร้างกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์ (De-Globalization) ในลักษณะดังกล่าว จนเกิดการประท้วง ต่อต้าน การปะทะครั้งแล้ว ครั้งเล่า ตั้งแต่การประชุม “WTO” ที่เมืองซีแอตเติล ประเทศอเมริกาเมื่อปี ค.ศ. 1999 ไปจนถึงการประชุม “WEF” ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ ค.ศ. 2002 ฯลฯ มาโดยตลอด แต่บรรดากระแสต่อต้าน คัดค้านเหล่านี้ ก็แทบไม่ได้ก่อให้เกิดความรู้สึก-รู้สาต่อบรรดาพวกอีลิทมากมายสักเท่าไหร่เพราะสุดท้ายย่อมต้อง “เหี่ยวปลาย” ลงไปเองจนได้...
แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับการต่อต้าน ขัดขืน โดย “ธรรมชาติ” หรือเจอกับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” เข้าแบบจะจะจังๆ อันนี้นี่แหละ...ที่เริ่มส่อให้เห็นอาการสั่นระแน้ของบรรดาพวกอีลิททั้งหลายอย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว หรือถึงขั้นทำให้ประธาน “WEF” อย่าง “นายKlaus Schwab” ต้องออกมาเขียนหนังสือและออกมาเรียกร้องให้บรรดามหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งหลาย กระทำการ “The Great Reset” ภายในประเทศตัวเองอย่างเป็นการเร่งด่วน โดยมีกษัตริย์อังกฤษร่วมแสดงความเห็นพ้อง-ต้องกันอย่างเป็นระบบและกิจการ หรือโดยอาศัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “COVID-19” เป็นเงื่อนไข-ข้ออ้าง ในการปรับระบบ ปรับระเบียบต่างๆ เพื่อให้โลกาภิวัตน์ที่ขับเคลื่อนโดยทุนนิยมเสรียังพอมีโอกาสดำรงคงอยู่ต่อไปให้จงได้ ส่งผลให้คุณปู่ “โจ ซึมเซา” ผู้นำอเมริกาต้องงัดเอานโยบาย “Build-Back-Better” ออกมาเร่ขายในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวที่ผ่านมา...
แต่ทั้งนั้น-ทั้งนี้...เมื่อเจอเข้ากับอุปสรรคขัดขวางอื่นๆ ที่ทยอยตามมาอย่างเป็นระลอก ไม่ว่าการแข่งขันทางการเมือง-การค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ที่ทำให้เกิดการย้อนกลับไปสู่ “ลัทธิป้องกัน-กีดกันทางการค้า” เกิดการหวนกลับไปสู่การพึ่งตนเอง (New Age of Self-Sufficiency) อย่างที่หนังสือพิมพ์ “The Guardian” ของอังกฤษได้ระบุเอาไว้ เกิดการแยกตัวเองของอังกฤษออกไปจากสหภาพยุโรป หรือ “Brexit” เกิดความสับสน ปั่นป่วนของธุรกิจห่วงโซ่อุปทานที่เคยเชื่อมโยงโลกทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน ไปจนถึงเกิด “สงครามยูเครน” โดยการเปิดปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ความพยายามเรียกร้องให้เกิดการ “Cooperation in a fragment world” หรือความร่วมไม้-ร่วมมือภายใต้โลกที่ย่อยแยกแตกกระจาย อันเป็น “คำขวัญ” ในการประชุม “WEF” คราวนี้ เลยจืดชืด จืดสนิท แทบไม่ต่างไปจาก “น้ำล้างหัวล้าน” หรือทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า “Davos is Dead-Globalization is Dead” ด้วยประการละฉะนี้!!!
อย่างไรก็ตาม...ถ้าว่ากันตามทัศนะ มุมมอง ของผู้นำประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อย่างคุณพี่จีน ที่แม้ท่านประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ท่านยังไม่มีแรงจูงใจพอที่จะเข้าร่วมประชุมคราวนี้ก็ตาม แต่โดยคำพูด คำจา คราวล่าสุด ท่านก็ยังคงยืนหยัด ยืนยันว่า โลกาภิวัตน์เป็นกระแสที่มิอาจหยุดยั้งได้ เป็นแนวโน้มของกาลเวลา เหมือนอย่างกระแสน้ำในทะเลอะไรประมาณนั้น โดยจีนเองก็พร้อมที่จะไหลไปตามกระแส หรือพร้อมที่จะเปิดกว้าง เปิดประเทศ ไม่ได้คิดจะต่อต้าน คัดค้านหรือปฏิเสธกระแสที่ว่านี้แต่อย่างใด แม้ว่าจีนจะเป็น “ทุนนิยมเผด็จการ” ไม่ใช่ “ทุนนิยมเสรี” แบบพวกโลกตะวันตกทั้งหลาย...
ซึ่งโดยคำพูด คำจา ที่ว่านี้ ออกจะสอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญโลกาภิวัตน์ของโลกตะวันตก อย่าง “นายJames Mittelman” ที่สรุปเอาไว้น่าคิด น่าฟัง มิใช่น้อย ประมาณว่า...โลกาภิวัตน์ไม่ได้กำลังจะตาย แต่กำลัง “วิวัฒนาการ” ซะมากกว่า คือกำลังแปรรูป แปรร่าง ไปสู่พื้นฐานใหม่ๆ ข้อเท็จจริงใหม่ๆ ที่อาจเป็นไปดังที่ประธานสมาคม “Rosagromash Association” และประธานร่วมเวทีประชุมเศรษฐกิจมอสโก (The Moscow Economic Forum-MEF) อย่าง “นายKonstantin Babkin” ระบุไว้ว่า ไม่ต่างอะไรไปจากสิ่งที่ธรรมชาติได้สรรค์สร้างเอาไว้แต่แรก นั่นคือ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” อะไรประมาณนั้น หรือถือเป็นสิ่งที่ดีกว่า...ในอันที่จะได้เห็นการพัฒนาเศรษฐกิจ-การเมืองในโมเดลที่แตกต่างกันไป จากรัฐและประเทศที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมแตกต่างกันไปไม่ว่าจะในแบบอิหร่านโมเดล อินเดียโมเดล จีนโมเดล หรือแม้แต่ตะวันตกโมเดล-รัสเซียโมเดล ฯลฯ ก็ตาม โดยที่บรรดาความแตกต่างเหล่านั้น สามารถหาจุดลงตัว หรือสามารถ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” แทนที่จะให้โลกทั้งโลกต้องเป็นไปในโมเดลเดียวกัน อย่างที่พวกโลกตะวันตกหรือพวก “WEF” ปรารถนาและต้องการ โดยเฉพาะเมื่อโลกทั้งโลกมันได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว” อย่างที่พวก “Anglo-American” พยายามยื้อยุด ฉุดดึงเอาไว้แบบสุดฤทธิ์ สุดเดช หรือพยายามฝืนข้อเท็จจริงทางธรรมชาติ จนส่งผลให้ “Davos is Dead” ไปด้วยประการละฉะนี้!!!