ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องแวะไปดู “แนวรบทะเลจีนใต้” ไปตามลำดับไหล่นั่นแหละทั่น!!! อีกทั้งเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา (3 ม.ค) ท่านอดีตเลขาธิการนาโต และอดีตนายกรัฐมนตรีเดนมาร์กอีกซะด้วย คือ “นายAnders Fogh Rasmussen” ท่านเพิ่งได้จังหวะ เวลา เดินทางไปเยือน ไปยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีนถึงเกาะไต้หวัน ขณะที่รัฐบาลเดนมาร์กปัจจุบันกลับยังคงป่าวประกาศยึดมั่น “นโยบายจีนเดียว” โดยทำไม่รู้-ไม่ชี้ต่อความเพียรพยายามสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ให้กับพญามังกรจีนกันไปซะยังงั้น!!!
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ฝ่ายจีนเขาย่อมหนีไม่พ้นต้องสำแดงเดช สำแดงพลัง เอาไว้มั่ง ตามสูตร-ตามพล็อต ด้วยการส่งเครื่องบินรบไปบินว่อนเหนือน่านฟ้าไต้หวัน โดยเท่าที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2022 เห็นว่า...เครื่องบินจีนที่รุกล้ำเข้าไปในน่านฟ้าไต้หวันเพิ่มขึ้นไม่น้อยไปกว่า 1,727 เที่ยวบิน หรือเพิ่มกว่าปี ค.ศ. 2021 ร่วมเท่าตัวเอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนจะถือเป็นภาพสะท้อน “ความหุดๆ หิดๆ” เพิ่มขึ้นๆของคุณพี่จีน หรือสะท้อนถึง “ความเปรี้ยว” ของไต้หวันและโลกตะวันตกที่ร่วมเล่นบทเป็น “ดาวยั่ว” ได้อย่างน่าถีบ น่าลงมือ-ลงเท้าเสียเหลือเกิน ก็คงแล้วแต่จะไปวินิจฉัยตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมันเอาเองก็แล้วกัน...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ความพยายามอาศัยไต้หวันเป็น “เครื่องมือ” ชนิดแทบไม่ต่างไปจาก “ยูเครน 2” เพื่อบั่นทอนศักยภาพต่างๆ ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน ไม่ต่างไปจากการอาศัย “ตัวตลก-ตัวแทน” ในยูเครน เล่นงานมหาอำนาจคู่แข่งอีกรายอย่างรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกจนตราบเท่าทุกวันนี้ ต้องถือเป็นเข็มมุ่งในทางยุทธศาสตร์ของคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรแห่งโลกตะวันตกอย่างเห็นได้โดยชัดเจนโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย แต่ถึงขั้นจะทำให้พญามังกรจีนอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมือ ออกเท้า ต้อง “โดดถีบ” ไต้หวัน เหมือนอย่างที่หมีขาวรัสเซีย จำต้องตัดสินใจเปิด “ปฏิบัติการทางทหาร” ต่อยูเครนเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว หรือไม่? อย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็น “ไฮไลต์” เป็นจุดสนใจที่ใครต่อใครพยายามหาคำตอบหาข้อสรุป มาโดยตลอด...
คือแม้ว่าโดย “ภาพจำลองสถานการณ์” ที่ใครต่อใครนำไปวาดภาพ นำไปเล่นเป็นวอร์เกม จะมีข้อสรุปคล้ายๆ กันซะเป็นส่วนใหญ่ คือโอกาสที่ไต้หวันจะ “เหลือรอด” จากการบุกอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการของกองทัพจีนนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ไม่ต่างไปจากกรณีรัสเซียกับยูเครนนั่นเอง แม้ว่าอเมริกา-โลกตะวันตก รวมทั้งผู้ที่กำลังคิดผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับ 3 ทางทหารของโลกอย่างคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ จะออกแรงคัดค้าน ต่อต้าน แทรกแซง เพียงใดก็แล้วแต่ แต่ก็นั่นแหละ...ในแง่ “ความสูญเสีย” ของจีน ก็คงไม่น้อยไปกว่าคุณน้ารัสเซียที่ชักเริ่ม “กลืนไม่เข้า-คายไม่ออก” ต่อกรณีวิกฤตยูเครนทุกวันนี้ หรืออย่างที่อดีตเลขาฯ นาโต “นายAnders Fogh Rasmussen” ส่งเสียงขู่ คำราม เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ประมาณว่า “การบุกไต้หวันของจีน...จะต้องเจอกับผลลัพธ์ร้ายแรงทางเศรษฐกิจอย่างชนิดหนักหนา-สาหัสเอามากๆ เนื่องจากจีนนั้นเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาธุรกิจห่วงโซ่อุปาทานยิ่งไปกว่าประเทศรัสเซีย” อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุนี้...แม้ความพยายามบีบมะนาวใส่หัวแม่เท้า ใส่กรงเล็บพญามังกร จะเป็นไปอย่างเอาการ-เอางานยิ่งเข้าไปทุกที ไม่เพียงแต่การเดินไปเยือนไต้หวันของอดีตเลขาฯ นาโตเมื่อวัน-สองวันนี้ การเดินทางไปพบปะหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพอเมริกันเพื่อหาทางทำให้ไต้หวันสามารถป้องกันตัวเองจากการบุกรุกของจีนได้มั่ง เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ “The Financial Times” เมื่อช่วงวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งการออกกฎหมาย “The National Defense Authorization Act-2023” ที่ผู้นำอเมริกา คุณปู่ “โจ ซึมเซา” เพิ่งลงนามไปเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ปีที่แล้ว ที่พร้อมจัดสรรเงินช่วยเหลือเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยให้กับไต้หวันถึง 10,000 ล้านดอลลาร์และเงินกู้ทางทหารอีกถึง 2,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า ฯลฯ จะสร้างความเปรี้ยวมือ-เปรี้ยวเท้า ให้กับคุณพี่จีนเพียงใดก็ตาม แต่ “ปฏิกิริยาตอบสนอง” ของจีน ก็ยังคงเป็นไปตาม “สูตร” เดิมๆ คือยังเห็นแค่เครื่องบินรบ เครื่องบินโจมตี ทิ้งระเบิด ของจีน บินไป-บินมา โฉบไป-โฉบมาเหนือน่านฟ้าไต้หวัน หรือเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน แล่นไป-แล่นมา เลียบไป-เลียบมาแถวๆ ช่องแคบไต้หวัน ไปตามสภาพ ตามแต่ละระดับสถานการณ์...
แต่จะถึงขั้นยกทัพโยธา “บุกไต้หวัน” อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราว อย่างที่นักยุทธศาสตร์อเมริกันหลายต่อหลายรายเคยคาดไว้ล่วงหน้า ว่าน่าจะไม่เกินปี ค.ศ. 2024 หรือไม่ถึงกับเร็ว-กับช้าเกินไปกว่านั้น ดูๆ แล้ว...อาจไม่เป็นไปตามนั้นเอาเลยก็เป็นได้ เพราะเท่าที่ดูจากอากัปกิริยาของคุณพี่จีนในการดำเนินวิเทโศบายต่างๆ นานา ไม่ว่าทั้งภายใน-ภายนอก คงต้องยอมรับว่า ผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” นั้น ท่านค่อนข้างมีลักษณะลีลาออกไปทาง “ยืดหยุ่น” ไม่ได้ “แข็งทื่อ-ตายตัว” แต่อย่างใด แค่ดูจากการยอมปรับนโยบายภายใน “โควิด-ต้องเป็นศูนย์” ให้กลายเป็นการอยู่ร่วมกับโควิด หลังการแสดงออกถึงความหงุดหงิด-งุ่นง่านของบรรดากุมารจีนจำนวนไม่น้อย ไม่ต่างไปจากการย้ำแล้ว-ย้ำอีกถึงนโยบายภายนอก ว่าด้วยการ “เปิดกว้าง” เปิดประตูสู่โลกภายนอกโดยไม่คิดย้อนกลับ หวนกลับไปสู่ความเป็น “ซ้ายสุดโต่ง” เหมือนอย่างสังคมนิยมรุ่นโบร่ำ-โบราณต่อไปอีกแล้ว หรือยังพร้อมเดินหน้าไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ โดยมี “รัฐ” คอยเป็นตัวกำกับ “ทุน” ไม่ให้ล้ำเส้นเลยเส้นมากมายจนเกินไป ตรงข้ามกับโลกตะวันตก...ที่เคยเป็นผู้เริ่มขับเคลื่อนกระแสโลกาภิวัตน์มาตั้งแต่แรก แต่กลับทำท่าว่าคิดจะพลิกกลับ หวนกลับ ไปสู่ลัทธิ “ป้องกัน-กีดกันทางการค้า” ด้วยการเปิดฉากสงครามเศรษฐกิจ การค้า การเทคโนโลยี ฯลฯ ชนิดเล่นเอาอภิมหาทุนระดับโลก อย่าง “นายMorris Chang” ผู้ก่อตั้งบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก อย่างบริษัท “TSMC” ที่เพิ่งตัดสินใจ “ย้ายทุน” จากไต้หวันไปอยู่อเมริกา ต้องออกมาสารภาพว่า “โลกาภิวัตน์...ตายแล้ว!!!” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วย “ความยืดหยุ่น” ในลักษณะที่ว่านี่เอง...ที่ทำให้นโยบายของจีนต่อเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน ไม่น่าจะดุเดือดเลือดพล่าน หรือเอาแต่คิดจะเดินหน้าบุกไต้หวันลูกเดียว เพราะถ้าชั่งน้ำหนักถึงผลได้-ผลเสียดูแล้ว ความพยายามที่จะทำให้ไต้หวันเป็น “ยูเครน 2” ของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกนั้น แม้ไม่เกินกำลังที่จีนจะเอาชนะ-คะคานต่ออุปสรรคดังกล่าวได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง แต่ก็อาจก่อให้เกิดการชะงักรั้งต่อกระบวนการบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุด นั่นคือการปรับเปลี่ยน “ระเบียบโลก” เสียใหม่ โดยมีพันธมิตรทางยุทธศาสตร์รายสำคัญอย่างคุณน้ารัสเซียร่วมยืนหยัด เคียงบ่า-เคียงไหล่ แบบชนิดไม่ใช่แค่ “Side-by-Side” แต่ถึงขั้น “Back-to-Back” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
อีกทั้งด้วยเหตุเพราะ “เวลา” ไม่ได้แค่เฉพาะ “เป็นใจ” ให้กับรัสเซีย เหมือนอย่างที่อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นางคอนโดลีซซา ไรซ์” เพิ่งสรุปเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ยังเป็นใจให้กับจีนไม่ต่างไปจากกันและกันมากมายสักเท่าไหร่ หรือเพราะความเป็นไปของโลกปัจจุบัน นับวันจะกระเดียดไปทาง “โลกหลายขั้วอำนาจ” ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะในเอเชีย ยุโรป แอฟริกา ละตินอเมริกา ฯลฯ ที่ต่างหันมาให้ความร่วมมือกับ “อภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก” อย่างโครงการ “BRI” ของจีนกว่า 140 ประเทศเข้าไปแล้ว ขณะโลกตะวันตกที่เพียรพยายามดำรงรักษา “โลกอำนาจขั้วเดียว” ไว้แบบสุดฤทธิ์ สุดเดช นับวันจะแห้งโหย โรยรา เสื่อมโทรม ทรุดโทรม ชนิดมีแต่รอวัน “ล่มสลาย” ลงไปต่อหน้า-ต่อตา...
ไม่ว่าคุณพ่ออเมริกาที่ต้องเจอกับปัญหาทางเศรษฐกิจ เจอภาวะเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางยังทำอะไรแทบไม่ได้ เพราะไม่ใช่เฟ้อเพราะสงครามยูเครนเท่านั้น แต่เฟ้อเพราะความเสื่อมค่าของ “เงินดอลลาร์” นั่นแหละเป็นหลัก จนความพยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 7 เปอร์เซ็นต์หรือไม่? อย่างไร? ก็ตาม ย่อมนำไปสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ขณะปัญหาการเมืองก็เริ่มเข้าสู่อาการเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อย่างเห็นได้ชัด แค่เฉพาะการเลือกตั้งประธานสภาผู้แทนที่ต้องลงคะแนนกันถึง 15 รอบ พอๆ กับยุคเมื่อร้อยๆ ปีที่แล้ว หรือยุคก่อนหน้าจะเกิด “สงครามกลางเมือง” ในอเมริกานั่นเอง อันถือเป็นตัวสะท้อนถึงความเป็น “ประชาธิป...ตาย” ของอเมริกา ที่ไม่เพียงบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายเลิกเชื่อ เลิกศรัทธาไปตามๆกัน แต่ยังสะท้อนถึงความแตกแยกภายในวงการการเมืองอเมริกา ไม่ว่าระหว่างพรรคต่อพรรค หรือภายในแต่ละพรรค หนักยิ่งกว่า “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” บ้านเรา ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ยิ่งความรุนแรงในสังคมก็แทบไม่ต้องพูดถึง คดีกราดยิงผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ที่เพิ่มขึ้นกว่า 600 คดีในช่วงปีที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุด...เด็กอายุ 6 ขวบยังคว้าปืนมายิงครูเอาดื้อๆ ฯลฯ ขณะที่ยุโรปทั้งยุโรป ก็แทบไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากกันมากมายสักเท่าไหร่นัก...
อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้มหาอำนาจคู่แข่งอย่างพญามังกรจีน แทบไม่ต้องเสียเวลา “บุกไต้หวัน” ให้ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าโดยใช่เหตุ แค่พยายาม “เดินหมากล้อม” ต่อไปเรื่อยๆ เพราะ “ดาวยั่ว” อย่าง “นางไช่ อิงเหวิน” ผู้นำไต้หวันก็ใช่ว่าจะสามารถรับบทดังกล่าวไปได้โดยตลอด แค่ดูจากการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อปลายปีที่แล้ว ขณะที่พรรคฝ่ายค้านที่เอียงมาทางจีนอย่างพรรคก๊กมินตั๋ง คว้าชัยชนะได้ถึง 13 มณฑลจาก 21 มณฑล พรรครัฐบาลอย่าง “DPP” คว้าเก้าอี้ได้เพียงแค่ 5 ที่นั่ง 5 ตัวเท่านั้น จนถึงขั้นผู้นำดาวยั่วต้องตัดสินใจลาออกจากหัวหน้าพรรคไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์...
ดังนั้น...การนำเงินภาษีของชาวไต้หวันไปซื้ออาวุธอเมริกันตามสัญญาเงินกู้ทางทหาร การยอมให้หมูที่มีสารเร่งเนื้อแดงของอเมริกาส่งเข้ามาในไต้หวันได้โดยเสรี หรือการยอมให้ญี่ปุ่นเทสารกัมมันตรังสีจากทะเลญี่ปุ่นมาถึงเกาะไต้หวันโดยไม่คิดท้วงติงเอาเลยแม้แต่แอะ ฯลฯ ทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้นี่เอง อาจทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันปีหน้า (2024) พลิกจากหลังตีนเป็นหน้ามือเอาง่ายๆ โดยที่กองทัพจีนอาจไม่ต้องเสียกระสุนแม้แต่นัดเดียวเอาเลยก็เป็นได้!!!