xs
xsm
sm
md
lg

ว่าด้วย...“เศรษฐกิจจีน”กับ“เศรษฐกิจโลก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เปิดฉากสัปดาห์นี้...เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ “ตรุษจีน” ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ คงต้องขออนุญาตแวะไปดู “เศรษฐกิจจีน” เขาไว้สักหน่อย!!! เพราะด้วยความเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก แถมใกล้จะแซงหน้าคุณพ่ออเมริกาขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ความเป็นไปของเศรษฐกิจจีนย่อมต้องเกี่ยวข้อง พัวพัน กับความเป็นไปของ “เศรษฐกิจโลก” อย่างมิอาจแยกขาดออกจากกันได้อยู่แล้วแน่ๆ...

ยิ่งในช่วงระยะที่เศรษฐกิจโลกปีนี้...ทำท่าว่าอาจต้องนิมนต์พระให้ช่วยเดินนำหน้าขึ้นสู่บันไดเมรุ หรือทำท่าว่าชักได้เวลา “เผาจริง”ไม่ใช่แค่ “เผาหลอก” ต่อไปอีกแล้ว ความเป็นไปของเศรษฐกิจจีนนับจากนี้ต่อไป จึงมีความสำคัญและเป็นที่จับตาเอามากๆ เพราะอาจมีส่วนทั้งในแง่ของการช่วยกอบกู้เศรษฐกิจโลกให้พอได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้มั่ง เหมือนอย่างที่เคยมีบทบาททำนองนี้มาแล้ว หลายครั้ง หลายหน หรืออาจกลายเป็นตัวนำพาให้ทุกสิ่งทุกอย่าง...มีแต่ยิ่งจมดิ่ง ลงเหว ลงนรก ยิ่งไปกว่าเดิมก็เป็นได้ เนื่องจากบรรดามหาอำนาจเศรษฐกิจ หรือ “เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ”รายอื่นๆ ไม่ว่ามหาอำนาจอันดับ 1 อย่างคุณพ่ออเมริกา ไปจนถึงพวกอียู-อีย้วย หรือคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ฯลฯ ก็ตามแต่ ล้วนแล้วแต่ออกอาการเครื่องยนต์ดับ เครื่องยนต์น็อกไปด้วยกันแทบจะทั้งสิ้น ทั้งพวง เจอกับปัญหาเงินเฟ้อ ภาวะขาดแคลนพลังงาน ไปจนถึงขั้นใกล้ๆ “เศรษฐกิจถดถอย”ไปเป็นประเทศๆ...

อย่างไรก็ตาม...หลังๆ นี้ คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า พญามังกรจีนท่านชักจะ “เกล็ดแห้ง”อยู่พอสมควรเหมือนกัน หรือชักลอดเลื้อยโอบกระหวัดรัดพัน ตามคุณลักษณะพิเศษไม่ค่อยจะออก เพราะถ้าดูจากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะโตได้ถึง 3 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าการประมาณการของพวกตะวันตก ที่เคยคิดว่าน่าจะโตได้แค่ 2.7 หรือ 2.8 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากเทียบกับการตั้งเป้าหมายของจีนเอง ว่าเคยคิดจะโตให้ได้ถึง 5.5 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย อันนี้...ต้องถือว่าหลุดกรอบ หลุดเฟรมกันไปมิใช่น้อย หรือหลุดไปถึง 2 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ที่ต้องเรียกว่าหนักหนาสาหัสเอาเรื่องพอสมควรทีเดียวเจียว และนั่นเอง...ที่อาจเป็นเหตุให้จีนเขาต้องหันมา “ปรับท่าที”บางอย่าง บางประการ เพื่อไม่ให้หลุดโลก หลุดวงโคจรมากมายเกินไปกว่านี้...

ไม่ว่าการแสดงท่าทีว่าพร้อมพลิก พร้อมฟื้นฟูสถานะทางเศรษฐกิจทั้งภายใน-ภายนอกของตัวเองในแต่ละระดับ พร้อมที่จะกระตุ้นการดำเนินการธุรกิจภาคเอกชน ธุรกิจรายเล็ก-รายย่อม ไปจนถึงการเปิดกว้างต่อการลงทุนจากภายนอก ฯลฯ ใครที่เคยมีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ ของ “นายอูเว พาร์พาร์ต” (Uwe Parpart) เรื่อง“China : the strong bullish case for 2023” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาเรียบเรียงและถ่ายทอดในชื่อเรื่อง “จีนปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อเติบโตอย่างพุ่งกระฉูดในปี 2023” เมื่อช่วงวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา คงพอนึกภาพออก ส่วนจะจริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็คงขึ้นอยู่กับ “รสนิยม” ของใคร-ของมันไปตามสภาพ...

แต่ก็นั่นแหละ...ที่ย่อมก่อให้เกิดความเกี่ยวข้อง พัวพันกับการยอมรับ การยอมปรับนโยบายสำคัญๆ ซึ่งเคยยืนหยัด ยืนยันมาโดยตลอด เช่นจากนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ที่กลายมาเป็นการยอมรับในอันที่จะ “อยู่ร่วมกับโควิด” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยจะก่อให้เกิดผลดี-ผลร้าย ก่อให้เกิดการ “ซี้ม่องเซ็ก” ของผู้ที่ติดเชื้อโควิดในเมืองจีนวันละเป็นหมื่นๆ เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานชั่วคราว หรือเกิดภาวะสะดุดหยุดยั้งของห่วงโซ่อุปทาน ดังที่พวก “กูรู-กูรู้”ทางเศรษฐกิจบางกลุ่ม บางราย เขาตั้งข้อสังเกตเอาไว้หรือไม่? ประการใด? ก็ตามที แต่ที่แน่ๆ...ย่อมต้องก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ เกิดสีสันบรรยากาศที่สอดคล้องกับการคิดจะฟื้นฟู ฟื้นตัวทางเศษฐกิจอยู่แล้วแน่ๆ...

ไม่ต่างไปจากความพยายามที่จะลดๆ บรรยากาศการเผชิญหน้า การตอบโต้ทางการเมืองและการทูต แบบที่เรียกๆ กันว่า “การทูตแบบนักรบหมาป่า”(Wolf warrior diplomacy) กับคู่แข่งอย่างคุณพ่ออเมริกา ด้วยการย้าย “นักรบหมาป่า” อย่างโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ “นายจ้าว หลี่เจียน” (Zhao Lijian) ให้ไปนอนตบยุงอยู่ในตำแหน่งรองอธิบดีกรมพรมแดนทางทะเลไปโน่น รวมถึงการส่งรองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและอเมริกา อย่าง “นายหลิว เหอ”(Liu He) ไปร่วมประชุม ณ เวที “World Economic Forum-WEF”ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และถือเป็นโอกาสพบปะแบบ “หน้า-ต่อ-หน้า”กับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ “นางเจเน็ต เยลเลน” (Janet Yellen) เป็นครั้งแรก โดยมีการเจ๊าะแจ๊ะเจรจาระหว่างกันและกันร่วมๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ เป็นต้น...

แต่ก็อย่างว่า...ความพยายาม “ปรับท่าที”ของจีนเพื่อหวังฟื้นฟูเศรษฐกิจของตัวเอง หรืออาจของโลกควบคู่ไปด้วย จะเป็นไปได้หรือไม่? อย่างไร? คงไม่น่าจะขึ้นอยู่กับตัวตนของพญามังกรโดยลำพัง แต่คงต้องขึ้นอยู่กับมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่อาจต้องเสียแชมป์ เสียรังวัด เสียหมา เสียสุนัข เสียความเป็น “จ้าวโลก-ประมุขโลก”อันเนื่องมาจากการเบียด การแซง ของคุณพี่จีนเขานั่นแหละ ว่าจะมีท่าทีต่อการปรับสภาพ ปรับท่วงทำนองของจีนไปในลักษณะไหน คล้ายๆ กับการ “ปรบมือข้างเดียว...ย่อมไม่ดัง”อะไรทำนองนั้น และโดยข้อมูล ข้อเท็จจริง ก็เป็นอะไรที่น่าหนักอก-หนักใจ มิใช่น้อย เพราะก่อนหน้าที่ “นายหลิว เหอ”จะได้จับเข่า จับหัวหน่าว กับ “นางเจเน็ต เยลเลน”เพียงแค่ 1 วัน เรือรบหรือเรือบรรทุกเครื่อง “US Nimitz” ของสหรัฐฯ ก็ยังคงออกปฏิบัติการ หรือออกไปยั่วยวนกวนส้นตีนคุณพี่จีน ในน่านน้ำทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ หรือก่อนที่รองนายกฯ จีนกับรัฐมนตรีคลังอเมริกาจะมีโอกาสเจอหน้า-เจอตากันและกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผู้นำอเมริกา คุณปู่ “โจ ซึมเซา”ก็ยังคงเพียรพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมและโน้มน้าว ให้นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ “นายMark Rutte” เลิกคิดส่งออก “ชิป” ไปยังประเทศจีน หรือยังคิด “เตะตัดขา” ความเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจดิจิทัลในเมืองจีน อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก เอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น...หลังการพบปะระหว่างบุคคลทั้งสองผ่านพ้นไปแล้ว โดยกำหนดการเดินทางไปเยือนทวีปแอฟริกาของ “นางเจเน็ต เยลเลน” หลังจากนั้น ก็เพื่อหวังหาหนทาง “ลดอิทธิพลจีน” ในภูมิภาคดังกล่าวให้จงได้!!!

นี่...ยังไม่รวมไปถึงการที่ “นักการเมือง”อเมริกา ไม่ว่าจะพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครต หรือพรรคฝ่ายค้านอย่างรีพับลิกันแม้จะพร้อมห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็น-เอาตายในเรื่องอื่นๆ แต่สำหรับเรื่องความกลัวจีน เกลียดจีนแล้วล่ะก็ กลับเป็นอะไรที่เห็นพ้องต้องกันโดยมิได้นัดหมาย หรือพร้อมลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการลงทุนของจีนในอเมริกาแบบเข้มงวดกวดขัน อันถือเป็นอุปสรรค เป็นเครื่องกีดขวางทางการค้า-การลงทุน ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน อย่างชนิดตรงไป-ตรงมา หรือทำให้เกิดบรรยากาศดังที่รายงานล่าสุดขององค์กรการเงินระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาเรียกว่า “ความย่อยแยกของภูมิเศรษฐกิจโลก” (Geoeconomic Fragmentation) อันจะกลายเป็นตัวซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกที่กำลังแย่ๆ เพราะวิกฤตค่าครองชีพ เพราะปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นๆ ในแต่ละประเทศ หรือเพราะความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก ยิ่งมีแต่ “แย่...กับ...แย่”ยิ่งขึ้นไปอีก หรือเต็มไปด้วย “อัตราเสี่ยง” แห่งการพังพินาศทางเศรษฐกิจที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป!!!

ด้วยเหตุนี้...การปรับท่าที ปรับท่วงทำนองของจีน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตัวเอง เศรษฐกิจโลก หรือเพื่อลอดเลื้อยโอบกระหวัดรัดพันใครต่อใครได้ต่อไป คงไม่ใช่เรื่องปอกกล้วยเข้าปาก หรือคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่แล้วแน่ๆ เพราะโดยความหมายของการ “ปรับท่าที”กับการ “ปรับยุทธศาสตร์”นั้น มันคงเป็นคนละเรื่อง คนละความหมาย ดังนั้น...ตราบใดที่ “ยุทธศาสตร์”หรือ “จุดมุ่งหมายสูงสุด” ของพญามังกรจีนที่แทบไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” อย่างหมีขาวรัสเซีย ยังไงๆ...ย่อมต้องนำมาซึ่งความขัดแย้งแตกต่างกับ “ยุทธศาสตร์อเมริกา”อย่างมิอาจรอมชอม ประนีประนอมกันได้เลย คือระหว่างผู้ที่หวังและต้องการให้โลกทั้งโลกต้องเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว”กับผู้ที่หวังและต้องการที่จะเห็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ปรากฏขึ้นมาอย่างเป็นจริง-เป็นจังให้จงได้!!! ทุกสิ่งทุกอย่าง...มันเลยหนีไม่พ้นต้อง “Zero-sum-game” หรืออาจต้อง “เจ๊ง...กันไปข้าง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...นั่นแล...




กำลังโหลดความคิดเห็น