เมืองไทย 360 องศา
ผ่านสายตากันไปแล้ว สำหรับบรรยากาศการหาเสียงในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งพื้นที่สัญลักษณ์ ก็คือ “เยาวราช” ที่บรรดาว่าที่นายกรัฐมนตรี นักการเมืองทั้งหลาย ต่างลงไปไหว้พระขอพร ขอคะแนนเสียงกันอย่างคึกคัก บางคนตัดสินใจไปแบบกะทันหัน หรือแบบ “ปาดหน้า” ก็มี ที่ต้องบอกว่า มีการลงไปหาเสียงกันแทบทุกพรรคการเมือง โดยก่อนหน้านั้น พรรคเพื่อไทย นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีศิลป์ ที่เชื่อว่า จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรค ได้ลงพื้นที่ ยังมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล
แต่ที่ตกเป็นเป้าสายตา ก็คือ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จากพรรครวมไทยสร้างชาติ กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะรับรู้ว่าการลงพื้นที่ดังกล่าว เป็นการหาเสียงในฐานะนักการเมือง แต่ที่ต้องโฟกัสกัน ก็คือ มีการ “ปาดหน้า” กันแบบหากไม่แตะเบรก ก็ต้องชนกันจังๆ หลายแยกแล้ว
แม้ว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะมาแบบฉายเดี่ยว มาแบบเงียบ มาไหว้พระขอพร และทักทายพี่น้องประชาชนในละแวกนั้นแล้วก็กลับ อาจเป็นเพราะเดินเบียดกับชาวบ้านจำนวนมากไม่ไหวก็ตาม แต่สำหรับงานการเมืองมันก็ต้องมา เพราะอย่างน้อยก็ต้องเป็นข่าวความเคลื่อนไหว แต่ถึงอย่างไรที่บอกว่า “ปาดหน้า” เพราะมาถึงก่อน “น้องตู่” เพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งหากมองแบบนั้นก็ได้ หรือจะแบบต่างคนต่างมาคนละเส้นทาง มองแบบนั้นก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน
ต่อมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนมาเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เมื่อวันที่ 23 ม.ค. โดยก่อนการประชุม พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่เยาวราช เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ไปคนเดียว ไปไหว้พระ ไม่มีอะไรหรอก
เมื่อถามว่า ได้ขอพรอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “โอ๊ย จะขอพรอะไรล่ะ ก็ขอให้เราสุขภาพแข็งแรง” เมื่อถามย้ำว่า ได้เสียงตอบรับ มีกำลังใจขึ้นหรือไม่ พล.อ. ประวิตร ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีเดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตามปกติ โดยเมื่อเวลา 09.30 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ครั้งที่ 1/2566 ภายหลังการประชุมได้กล่าวทักทายสื่อมวลชน ว่า “สวัสดีนะจ๊ะ” เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความรู้สึกที่ได้ลงพื้นที่เยาวราช เมื่อช่วงค่ำวันที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ส่ายศีรษะ ก่อนขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า ทันที
แต่ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มีทั้งผู้เชียร์ และผู้ขับไล่ ว่า เป็นเรื่องปกติในทางการเมือง ซึ่งต้องเข้าใจ อย่างกรณีที่ตนไปลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ไปตรวจราชการตามปกติ ได้รับการตอบรับจากประชาชนเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต นั้น เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น นักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมาก เมื่อตนเดินไปทักทายกับประชาชน ก็มีการฝากความรักถึง พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดเส้นทาง ตนเซอร์ไพรส์มาก และการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ลงไปเยาวราชแบบส่วนตัว จริงๆ แล้วท่านตั้งใจไปไหว้พระ และเป็นวันหยุด ท่านบอกจะไปไหว้พระส่วนตัว ซึ่งยังไลน์คุยกับตนที่อยู่ระหว่างไปทำบุญที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย ในวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ตนยังได้บอกนายกฯ ว่า ไปขอพรให้นายกฯ ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และพระพุทธเมตตา นายกฯ ก็บอกว่ากำลังจะไปเยาวราช เพื่อไหว้พระเหมือนกัน ซึ่งการที่นายกฯ ลงไปได้เจอพบปะกับประชาชน ตนก็ได้คุยกับท่านและบอกว่า ประชาชนมาสะท้อนว่า วันนี้ประเทศฟื้นตัวแล้ว เศรษฐกิจดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามาก นายกฯก็ชื่นใจที่ได้เห็นประชาชนมีความสุข
“อาจจะมีมุมมองทางการเมืองของคนที่อาจจะพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ตรงนี้ท่านบอกว่าเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง ซึ่งท่านก็รับฟังปัญหาของทุกคนอยู่แล้ว” นายธนกร กล่าว
เมื่อถามว่า นายกฯได้บอกหรือไม่ ว่า หลังจากนี้ อาจจะลงพื้นที่ในนามสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติมากขึ้น เพราะใกล้หมดวาระรัฐบาลแล้ว นายธนกร กล่าวว่า เข้าใจว่า ทางพรรคคงมีโปรแกรมอยู่แล้ว ซึ่งนายกฯคงใช้เวลานอกราชการในการลงไปทำงานการเมือง ถือเป็นเรื่องปกติ และไม่ได้เป็นการเอาเปรียบใคร ซึ่งวันนี้ตนเข้าใจว่า หลายฝ่ายจับตาอยู่ว่าจะมีการหาเสียงหรือไม่ แต่ต้องเข้าใจว่า ตน และนายกฯ หรือทีมกฎหมาย ก็รู้กฎหมายดี เราไม่เอาเปรียบอยู่แล้ว และคิดว่า วันนี้ประชาชนเข้าใจว่า เป็นเรื่องของการช่วงชิงในเรื่องของผลงาน หรือนโยบายมากกว่าที่จะไปหาเสียง การเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ คิดว่าควรจะลดน้อยลง ตนเชื่อว่า ประชาชนต้องการการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่โจมตีใคร แข่งกันด้วยนโยบายและผลงานมากกว่า
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ปาดหน้า พล.อ.ประยุทธ์ มาหลายครั้ง นายธนกร กล่าวว่า เรื่องการปาดหน้า ปาดหลัง ไฟแดง ไฟเขียว ตนคิดว่า ไม่ใช่สาระสำคัญ ตนเข้าใจว่า เป็นเรื่องปกติของท่านที่คงมีกำหนดการ ซึ่งนายกฯไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้ เพราะทุกคนมีสิทธิ์ไปตรงไหนก็ได้ และนายกฯเองมีสิ่งที่ท่านจะไปอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีปัญหา
**อย่างไรก็ดี หากโฟกัสกันเฉพาะพื้นที่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันกันสูงมาก เพราะจะว่าไปแล้ว เป็นพื้นที่ที่สามารถพลิกผันเปลี่ยนแปลงไปมาได้ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง เพราะไม่มีพรรคใดที่สามารถครอบเสียงได้แบบผูกขาดได้ตลอดเวลา ที่สำคัญ “ไม่มีบ้านใหญ่” แบบถาวร ตัวอย่างที่เห็นชัดได้จากการเลือกตั้งคราวที่แล้วเมื่อปี 2562 ที่พรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับต้อง “สูญพันธุ์” ในสนามเลือกตั้งเมืองหลวงแห่งนี้ นั่นคือ เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้ ส.ส.สักที่นั่งเดียว
กลายเป็น พรรคพลังประชารัฐ เบียดแย่งเข้ามาได้ถึง 12 ที่นั่ง ชนะพรรคเพื่อไทย 9 ที่นั่ง เท่ากับพรรคก้าวไกล (อนาคตใหม่) ทั้งที่เวลานั้นเป็นพรรคใหม่เพิ่งก่อตั้ง แต่ด้วยว่ากันว่า เป็น “กระแสลุงตู่” ที่คนกรุงต้องการให้เป็นนายกฯ จึงเทคะแนนให้ แต่มาวันนี้ที่หลายคนบอกว่า บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว อย่างน้อยก็ได้เห็นการแยกทางของ “สอง ป.” ที่ไปกันคนละทาง คนละพรรค โดยคราวนี้ “ป.ประยุทธ์” แยกไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องการพิสูจน์ “กระแส” อีกครั้งว่ายังขลังอยู่อีกหรือเปล่า
ขณะที่พรรคอื่น ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ก้าวไกล รวมถึงพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องการปักธงให้ได้ โดยเฉพาะเพื่อไทยที่ต้องการล้างตา ต้องการทวงแชมป์เมืองหลวงอีกรอบ ว่า จะทำได้หรือเปล่า หลังจากเริ่มเห็นสัญญาณจากการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่คนกรุงเทเสียงให้กับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ถล่มทลายกว่า 1.3 ล้านเสียง โดยตอนนั้นใครๆ ก็รู้ว่าพรรคเพื่อไทย “แอบโหน” ไปด้วย แต่กลายเป็นว่า กว่าครึ่งปีแล้วที่เริ่มเห็นสัญญาณลบกับผลงานผู้ว่าฯ กทม.ที่ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย “ไม่ใช่ฝีมือเทวดา” อย่างที่ฝัน ทุกอย่างก็เริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
หรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ของ“ลุงป้อม” ที่แม้เชื่อว่า ในใจลึกๆ คงไม่อาจคาดหวังมากนัก เพราะบรรดา ส.ส.เดิมย้ายพรรคเผ่นหนีกันแบบไม่เหลือติดพรรคแม้แต่คนเดียว มันก็พอเห็นภาพชัดล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่จะให้รอแห้งตายกับที่มันคงไม่ใช่ มันจึงได้เห็นความเคลื่อนไหวของ “ลุงป้อม” แบบยันกระแสเอาไว้บ้างในช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา
สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องบอกว่า พรรครวมไทยสร้างชาติของเขายังพอมีหวังในการรักษาเก้าอี้ หรือได้ที่นั่งเพิ่มในบางเขตใหม่ก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน ในสภาพ “นักการเมือง” เต็มตัวของเขา ก็ต้องเจอกับคู่แข่ง และกระแสต่อต้านในแบบ “วิชามาร” ที่แฝงมาระหว่างลงพื้นที่ ซึ่งจะต้องเจอเกือบทุกที่นับจากนี้ เพราะตัว พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าเป็น “หนึ่งในขั้วหลัก” ที่ต้องต่อกรกับอีกขั้ว นั่นคือ ฝ่ายเพื่อไทย
ดังนั้น หากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เชื่อว่า สนามเมืองกรุงจะเป็นสนามที่แข่งขันกันมันหยดแน่นอน เพราะนอกจากกระแสไม่นิ่ง ไม่มีใครผูกขาด ทุกอย่างขึ้นกับกระแส และคาดเดาได้ยาก อีกทั้งคราวนี้มีการเพิ่มจำนวน ส.ส.เป็น 33 คน มันก็ยิ่งดุเดือดเข้มข้น โดยเฉพาะพรรคที่ต้องการเล่นกับ “กระแส” ก็ต้องใส่กันเต็มที่ และที่สำคัญ งานนี้ “ลุงตู่” ไหวมั้ย !!