ด้วยเหตุที่มีอุปสรรคชะงักงันบางอย่าง บางประการ...เลยจำต้องเลื่อนส่งต้นฉบับสัปดาห์นี้ จากฉบับวันจันทร์ที่ 12 ธ.ค.มาเป็นวันพุธที่ 14 ธ.ค.กันแทนที่ ซึ่งคงต้องขอประทานโทษ ขออภัย ท่านผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเอาไว้ ณ ที่นี้ และเพื่อเป็นการเปลี่ยนสีสัน บรรยากาศ จากที่เคยต้องมั่วอยู่กับเรื่องการรบพุ่ง การทำสงคราม การสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ใส่กันและกันของบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ในแนวรบแต่ละด้าน...
เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตเปลี่ยนไปพูดถึงสงครามที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ ใช้จรวดพิฆาต เครื่องบินโดรน ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรจนหวิดๆอาจต้องงัดอาวุธมหาประลัยอย่างขีปนาวุธนิวเคลียร์ออกมาประหัตประหารซึ่งกันและกันจนได้ แต่สุดท้าย...ก็ก่อให้เกิด “ความเจ็บปวด” ไม่น้อยไปกว่ากันมากมายสักเท่าไหร่ นั่นก็คือ “สงครามการค้า” ระหว่างมหาอำนาจในแต่ละฝ่าย ที่นับวันจะทวีความหนักหน่วงรุนแรง ถึงขั้นที่ทำให้นักธุรกิจ เศรษฐกิจ ที่ต้องเผชิญหน้าอยู่กับแนวรบด้านนี้ อดไม่ได้ที่ต้องออกมาโหยหวน ครวญครางว่า “โลกาภิวัตน์...ตายแล้ว!!!” หรือบรรยากาศแห่งการค้าๆ ขายๆ แบบชนิดใครใคร่ค้า-ค้า ใครใคร่ขาย-ขาย ใครใคร่ย้ายทุน-ย้าย ไปยังประเทศไหน ซีกโลกไหนก็ย่อมได้ ตามแนวคิดแบบ “ตลาดเสรี” หรือ “เศรษฐกิจเสรี” อันเป็นสิ่งที่โลกตะวันตกโดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกา เคยเป็นต้นแบบ-แม่แบบมาตั้งแต่แรก อีกทั้งพยายามยัดเยียดให้ใครต่อใครต้องเดินไปในแนวนี้ หรือตามแนวทาง “ทุนนิยมเสรี” แต่มาถึงทุกวันนี้...มันถึงขั้นตายแล้ว เด็ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้ว จริงๆ หรือไม่? อย่างไร?
คือผู้ที่ออกมาพูด ออกมาโหยหวน ครวญครางไปในแนวนี้...ย่อมไม่ใช่แค่นักธุรกิจ เศรษฐกิจธรรมดาๆ อยู่แล้วแน่ๆ แต่เป็นถึงขั้นผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก อย่างบริษัท “TSMC” (Taiwan Semiconductor Manufacturing Corporation) นั่นคือ “นายMorris Chang” ที่ได้เอ่ยคำพูดทำนองนี้ระหว่างงานเปิดตัวโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์แห่งใหม่ ณ เมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนา อเมริกา เมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (6 ธ.ค.) ด้วยมูลค่าการลงทุนถึง 40,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... “ด้วยเหตุเพราะภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผมเชื่อว่าโลกาภิวัตน์และการค้าเสรีได้ตายไปแล้วโดยส่วนใหญ่ แม้ผู้คนจำนวนมากหวังจะเห็นมันกลับมา แต่สำหรับผมแล้ว...ผมไม่คิดเช่นนั้น!!!”
โดยที่คำพูดเช่นนี้...จะสะท้อน “อารมณ์-ความรู้สึก” ออกมาในแนวไหนต่อแนวไหน คงต้องไปแปลความ ตีความกันเอาเอง แต่การที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเซมิคอนดักเตอร์ดังกล่าว จำต้องย้ายฐานการผลิต “ชิป”เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในอเมริกา ย่อมถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม “เตะตัดขา” มหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาอย่างพญามังกรจีน ที่มุ่งมาดปรารถนาหวังจะผงาดขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลภายในทศวรรษนี้ให้จงได้นั่นเอง อันทำให้ “TSMC” ต้องตกอยู่ภายใต้กฎระเบียบและข้อห้ามของรัฐบาลอเมริกัน ที่มุ่งจะเล่นงานการพัฒนาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของจีนในทุกๆ ด้าน หรือถือเป็นการป้องกันกีดกันทางการค้าแบบดื้อๆ ทื่อๆ ที่ไม่เพียงแต่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า “การค้าเสรี” แทบไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไปแล้ว แต่ยังถือเป็นการข่มขู่ คุกคาม ต่อการประกอบธุรกิจในระบบ “ทุนนิยมเสรี” ไม่ต่างไปจากการแทรกแซง ปิดล้อม หรือการยุแยงตะแคงรั่ว ให้เกิดการเล่นงานคู่แข่งทางการค้า หรือมหาอำนาจคู่แข่ง ไม่ให้มีวันได้ผุด-ได้เกิด เอาเลยประมาณนั้น...
ดังนั้น...แม้ว่า “รายได้” ของบริษัท “TSMC” อาจต้องลดลงไป เพราะขาดลูกค้ารายสำคัญอย่างจีนไปเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ในเมื่อมันสามารถสนองตอบต่อ “จุดมุ่งหมายทางการเมือง” ของรัฐบาลอเมริกันและรัฐบาล “DPP” ของไต้หวัน ได้อย่างเป็นเนื้อ-เป็นหนัง การใช้แรงกดดัน หรือการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าวในรูปแบบใดๆก็แล้วแต่ ให้บริษัทผลิตชิประดับโลกอย่าง “TSMC” ต้องย้ายฐานการลงทุนเข้าไปในอเมริกา ไม่เพียงทำให้มหาอำนาจคู่แข่งอาจต้องประสบความยากลำบากในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคตข้างหน้า แต่ยังทำให้ “ธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน” ที่เคยเป็นตัวเชื่อมโยงโลกทั้งโลกตามแบบฉบับโลกาภิวัตน์ทั้งหลาย มีอันต้องขาดสะบั้น พังพินาศ ฉิบหายวายวอด หรือ “ตายไปแล้ว” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นเหตุให้ “นายMorris Chang” ถึงกล้าออกมาฟันธงว่า “โลกาภิวัตน์...ได้ตายไปแล้ว” หรือทำให้โลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้องกลับมาเผชิญกับอุปสรรคในการค้าๆ-ขายๆ การปกป้อง การกีดกันทางการค้า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อันเนื่องมาจากผู้ที่เคยเป็นแม่แบบ ต้นแบบ “การค้าเสรี” อย่างคุณพ่ออเมริกา ไม่พึงปรารถนาที่จะให้ใครคนหนึ่ง-คนใดประเทศหนึ่ง-ประเทศใดผงาดขึ้นมาเคียงบ่า-เคียงไหล่ หรือเบียดหลัง-เบียดไหล่ตัวเองได้โดยเด็ดขาด และก็ไม่ใช่แต่เฉพาะมหาอำนาจคู่แข่งอย่างพญามังกรจีนเท่านั้น กระทั่งพันธมิตรที่เคยร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมานาน อย่างบรรดาประเทศยุโรปก็เถอะ ด้วยความเป็น “American First” หรือด้วยความเห็นแก่ “ตัวกู-ของกู” เป็นอันดับแรก การออกกฎหมายเพื่อลดภาวะเงินเฟ้อภายในประเทศตัวเอง หรือที่เรียกว่า “The Inflation Reduction Act” (IRA) ของสภาคองเกรสเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังทำเอาบรรดาประเทศอียูทั้งหลาย ต่างออกอาการ “อีย้วย” ไปตามๆ กัน เพราะการลดภาษี ให้การอุดหนุนแก่อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสะอาดตามกฎหมายฉบับดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบต่อบรรดาอุตสาหกรรมผลิตรถไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ ฯลฯ ถึงขั้นต้องย้ายฐานการลงทุนไปอยู่ที่อเมริกา แทนที่จะยังปักหลักอยู่ในยุโรป ก่อให้เกิดความสูญเสียต่ออุตสาหกรรมในประเทศยุโรป รายละนับเป็นพันๆ ล้านดอลลาร์...
ชนิดแม้แต่ “คุณป้ามหาภัย” “นางUrsula von der Leyen” ประธานสภาบริหารอียู ที่เคยสูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจจากก้นของคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ยังอดไม่ได้ที่ต้องปลุกปลอบใจสมาชิกอียูด้วยกันเองว่าจะต้องหาทาง “เทค แอคชั่น” ในทางหนึ่ง-ทางใด ต่อกฎหมายฉบับดังกล่าวของมหามิตรอย่างอเมริกาอยู่แล้วแน่ๆ ส่วนจะออก “แอคชั่น” ไปในแนวใดนั้น ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้โดยชัดเจน ขณะที่หนึ่งในคณะกรรมาธิการการค้าสภายุโรป อย่าง “นายBernd Lange” ออกมาสรุปไว้ล่วงหน้าว่า โอกาสที่จะกดดันให้รัฐบาลอเมริกันปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระ ในกฎหมายฉบับนี้ ไม่ให้เกิดการกีดกันทางการค้านั้น เป็นเรื่อง “เสียเวลาโดยใช่เหตุ” มีแต่ต้องเตรียมเสนอเรื่องฟ้องร้องต่อ “องค์การการค้าโลก” หรือ “WTO” น่าจะเข้าท่ากว่า ส่วนเกาหลีใต้พันธมิตรรายสำคัญของคุณพ่ออเมริกาในเอเชีย ที่ได้รับความกระทบ กระเทือนจากกฎหมายฉบับดังกล่าวด้วยเช่นกัน เห็นว่ารัฐมนตรีการค้า “นายDukgeun Ahn” ได้ออกมาเรียกร้องให้อียูและเกาหลีใต้ร่วมมือกัน หาทางนวดทางคลึงคุณพ่ออเมริกากันในแบบไหน? อย่างไร? คงต้องติดตามกันต่อไป...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วยความ “เห็นแก่ตัว” ความไม่ต้องการที่จะเห็นใครต่อใครผงาดขึ้นมาเคียงบ่า-เคียงไหล่ แซงหน้า-แซงหลังตัวกู-ของกูได้โดยเด็ดขาดนี่เอง เลยทำให้สิ่งที่เรียกว่า “การค้าเสรี” หรือ “ทุนนิยมเสรี” แทบไม่ได้หลงเหลือ “เสรี” ใดๆ อีกต่อไปมีแต่ต้องหันมาห้ำหั่น หันมาช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ระหว่างกันและกัน ไม่น้อยไปกว่าการห้ำหั่นกันด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย หรือทำให้ “โลกาภิวัตน์...ตายแล้ว” อย่างที่ “นายMorris Chang” ท่านว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแล และด้วยการหันมาปกป้องผลประโยชน์แห่งตัวกู-ของกูเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ย่อมส่งผลให้ “เศรษฐกิจโลก” ที่ออกจะแย่ๆ อยู่แล้ว หรือกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย”แทบจะทั้งโลก ย่อมมีแต่ต้องยิ่ง “แย่...กับ...แย่” หนักขึ้นไปใหญ่!!! ธุรกิจห่วงโซ่อุปทานที่เคยเชื่อมโยงโลกทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียว กำลังขาดสะบั้นพร้อมๆ กับการหันมาเผชิญหน้ากันในทางการเมือง เศรษฐกิจ การทหาร โดยสุดท้ายแล้ว... “กรรมใด-ใครก่อ” ย่อมต้องได้รับผลสนองต่อ “กรรม” นั้นๆ ตามกฎเหล็กแห่งธรรมชาติ หรือกฎอิทัปปัจจยตา อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
เพราะความพยายาม “เอาตัวรอด” หรือพยายามลดภาวะเงินเฟ้อของอเมริกาด้วยกรรมวิธีต่างๆ นานา ไม่ว่าด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแบบใส่เกียร์ 5 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือการออกกฎหมาย “IRA” ฯลฯ ก็แล้วแต่ กลับไม่ได้ช่วยให้เกิดความอยู่รอดปลอดภัยต่อเศรษฐกิจอเมริกันมากมายสักเท่าไหร่ โดยอาศัย “ภาพจำลอง” ทางเศรษฐกิจในการวิเคราะห์ของนักเศรษฐศาสตร์ “Bloomberg” คราวล่าสุด ทำให้อดไม่ได้ที่จะต้อง “ฟันธง” เอาไว้ล่วงหน้าว่าภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ในอเมริกาจะอุบัติขึ้นในปีหน้าไม่เกินเดือนตุลาฯ ปี ค.ศ. 2030 หรืออาจเร็วกว่านั้นถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็มๆ หรือทำให้นักธุรกิจและนักเขียนผู้โด่งดังจากหนังสือเรื่อง “Rich Dad-Poor Dad” ที่มียอดขายทั่วโลกถึง 41 ล้านเล่ม มีผู้แปลออกมาเป็นภาษาต่างๆ ถึง 51 ภาษา อย่าง “นายRobert Kiyosaki” ต้องออกมาเอะอะโวยวาย เตือนบรรดานักลงทุนทั้งหลายว่า “ฟองสบู่ใหญ่ที่สุดของโลก...กำลังจะแตก!!!” ใครที่คิดจะลงทุนใน “ทรัพย์สินกระดาษ” ไม่ว่าหุ้น พันธบัตร หรือตราสาร ฯลฯ ใดๆ ก็แล้วแต่ ให้หันมาลงทุนซื้อทอง ซื้อโลหะมีค่าเก็บไว้น่าจะเหมาะกว่า ด้วยเหตุผลสั้นๆ-ง่ายๆ ประมาณว่า... “ผมไม่ได้คิดจะซื้อทองคำเพราะผมชอบ...แต่เหตุที่ผมซื้อทองเพราะผมไม่เชื่อถือใน FED ต่อไปอีกแล้ว”...