เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปสำรวจตรวจสอบ ความเหนียวแน่น หนึบหนับของ “โลกตะวันตก”หรือระหว่าง “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างคุณพ่ออเมริกากับบรรดาประเทศยุโรปตะวันตก ในฐานะพันธมิตรที่ยืนหยัด เคียงบ่า เคียงไหล่ กันมานานแสนนาน แม้ยังถูกฉุดกระชากลากถูให้ร่วมยำมือ ยำตีน “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...จะร่วมหัว-จมท้ายกันไปโดยตลอด หรือพร้อมที่จะ “ล่มสลาย”ไปด้วยกันทั้งคู่หรือไม่? อย่างไร?
คือเผอิญ...เหลือบไปเห็นข่าวคราว หรือ “รายงานข่าว” จากเว็บไซต์ข่าวการเมืองระดับโลก ที่มีเครือข่ายทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมอยู่ในตัว มีฐานที่ตั้งอยู่ที่อเมริกาแต่เจ้าของเป็นเยอรมนี เพราะเพิ่งซื้อกิจการมาจากชาวอเมริกันมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์ นั่นก็คือเว็บไซต์ “The Politico” ที่ได้รายงานเอาไว้เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา (24 พ.ย.) โดยอ้างถึง “แหล่งข่าวระดับสูง” หรือ “เจ้าหน้าที่อาวุโส”ของสหภาพยุโรป ที่เริ่มออกอาการฉุนฉิว กริ้วโกรธ ต่อคุณพ่ออเมริกา ชนิดที่อาจพร้อม “เลิกดมก้น” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ อันอาจทำให้การขับเคี่ยวเอาแพ้-เอาชนะ ระหว่างพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ”ในการนำพาโลกไปสู่เส้นทางแห่งอนาคต อาจพอจะส่อแววได้ว่า สุดท้ายแล้ว...ใครแพ้-ใครชนะ ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ...
เพราะตามรายงานของ “The Politico” นั้น...สะท้อนให้เห็นถึงความฉุนขาด ฉุนเฉียวเอาจริงๆ ของ “เจ้าหน้าที่อาวุโส” ที่ว่าเช่นคำพูดคำต่อคำที่ระบุเอาไว้ถึงขั้นว่า... “พวกเขา(อเมริกา)ได้กำไรจากการขายแก๊สราคาแพงแสนแพง (สูงกว่าที่ขายในอเมริกาถึง 4 เท่า) และการขายอาวุธที่เพิ่มผลประโยชน์ให้อย่างมหาศาล แต่ด้วยความขัดแย้งในยูเครนนี่เอง...ที่ทำให้อเมริกาฟันกำไร ขณะที่เราชาวยุโรปกลับถูกปล้น ให้ต้องทนทุกข์อยู่กับความหนาวเหน็บ”นี่...ฉุน-ไม่ฉุน โกรธ-ไม่โกรธ คงต้องชั่งน้ำหนักดูเอาเองก็แล้วกัน หรือทำให้เว็บไซต์ “The Politico”ต้องสรุปว่า “ช่องว่าง”ระหว่างสองฟากฝั่งแอตแลนติกกำลังขยายตัวยิ่งขึ้น!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ด้วยเหตุเพราะ “ความเห็นแก่ตัว” ประเภท “American First”ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” หรือ “โจ ซึมเซา”ก็แล้วแต่ เริ่มทำให้บรรดาประเทศยุโรปชักไม่อยาก “ดมก้น”ไม่อยาก “สูดกลิ่นมาดามหอมชื่นใจ” จากการเดินตามนโยบาย การชี้แนะ ชี้นำ โดยคุณพ่ออเมริกาในทุกเรื่อง ทุกราว อีกต่อไปแล้ว เพราะแค่การเดินตามต้อยๆ ในการรุมเหยียบ รุมกระทืบหมีขาวรัสเซียในกรณียูเครน ก็ส่งผลให้ยุโรปทั้งยุโรปต้องเจอ “วิกฤตพลังงาน” ที่ลุกลามบานปลายกลายเป็น “วิกฤตเงินเฟ้อ” ระดับตัวเลข 2 หลักไปแล้วถึง 19 ประเทศ หรือดังที่ผู้บริหารองค์กรความร่วมมือเศรษฐกิจและการพัฒนา “OCED”“นายMathias Cormann” ต้องออกมาเตือนเมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (22 พ.ย.) ว่า “วิกฤตพลังงานที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 กำลังก่อให้เกิดผลกระทบทั่วทั้งโลก...แต่ที่หนักที่สุดคือประเทศยุโรป”คือจะทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้โตได้แค่ 3.1 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปีหน้า ค.ศ. 2023 จะเหลือแค่ 2.2 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ 19 ประเทศยุโรป ปีนี้โตแค่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปีหน้าจะเหลือเพียง 0.5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนค่อยๆ กระเตื้องขึ้นมาในปี ค.ศ. 2024 อยู่ที่ 1.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
แต่ขณะเศรษฐกิจยุโรปกำลัง “ใกล้เจ๊ง” เพราะการดมก้นอเมริกาในกรณียูเครน คุณพ่ออเมริกาที่ยังสามารถฟันกำไรจากการขายแก๊สราคาแพงๆ หรือปั๊มอาวุธออกมาขายอย่างเป็นระบบและกิจการ ยังกลับอุตส่าห์หันมา “บีบไข่” บรรดาประเทศยุโรปเพื่อให้ร่วมเล่นงาน ร่วมรุมกระทืบคุณพี่จีนในทางการค้า การปฏิเสธที่จะค้าๆ-ขายๆโดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยีกับจีนอีกซะด้วยต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัท “อาเอสเอ็มแอล โฮลดิ้ง” (ASML Holding) บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ที่ถูก “รำรี มามะ” (บีบไข่) จนหน้าเขียว-หน้าเหลือง ด้วยการกีดกันไม่ให้ส่งออก “ชิป” ไปยังประเทศจีน เล่นเอา “นายมาร์ก รึตเตอ” (Mark Rutte) นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ที่กำลังเจรจาร่วมมือกับเกาหลีใต้ ในการผลิตสินค้าประเภทนี้ ต้องออกมาโหยหวน ครวญคราง แสดงท่าทีปฏิเสธและคัดค้านต่อแรงกดดันดังกล่าว ไม่ต่างไปจากผู้นำเยอรมนี “นายโอลาฟ ชอลซ์” (Olaf Scholz) ที่ไม่เพียงออกมายืนกรานว่าเยอรมนีจะไม่เลิกสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนเป็นอันขาด ยังถ่อไปเยือนดินแดนมังกรอย่างเป็นทางการ หรือผู้นำฝรั่งเศส “นายเอ็มมานูเอล มาครง” (Emmanuel Macron) ที่ออกมาป่าวประกาศระหว่างการแสดงปาฐกถาต่อผู้นำเอกชนในการประชุม “เอเปก” ที่บ้านเรานี่เอง ด้วยการเรียกร้องประเทศยุโรปให้มีส่วนร่วมทางการค้ากับจีนยิ่งขึ้น ฯลฯ...
นอกเหนือไปจากเรื่องการค้าๆ-ขายๆ กับจีนแล้ว...สิ่งที่ทำให้บรรดาประเทศยุโรปเกิดอาการ “ไข่ดันบวม”ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการที่คุณพ่ออเมริกาพยายาม “เอาตัวรอด” ในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อในประเทศตัวเอง ด้วยการออกกฎหมายที่เรียกย่อๆว่า “IRA”หรือ “US Inflation Reduction Act” โดยการนำเสนอของวุฒิสมาชิกเดโมแครต “นายChuck Schumer”และ “นายJoe Manchin” เพื่อตอบสนองต่อนโยบาย “Build Back Better”ของคุณปู่ “โจ ซึมเซา” เขานั่นแหละ ที่มีทั้งการให้เงินอุดหนุน การลดภาษีต่ออุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมประเภทการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นต้น อันส่งผลให้เกิดการทำลายระบบอุตสาหกรรมยุโรปเป็นมูลค่านับพันๆ ล้านในบางประเทศ หรือเป็นการ “กีดกันทางการค้า” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน แต่แม้ว่าผู้นำฝรั่งเศสจะเคยแสดงอาการ “เจ็บไข่”ในเรื่องนี้เอามากๆ ถึงกับคิดนำเสนอเรื่องต่อองค์การการค้าโลกและพยายามเจรจากับผู้นำอเมริกาในแบบไหน อย่างไร ก็เถอะ แต่กฎหมายฉบับนี้ก็ได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดีคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา แถมระหว่างเจอะหน้า-เจอะตากันในที่ประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย คุณปู่ “โจ”ท่านยังทำท่าหลงๆ-ลืมๆ หรือ “ทำไม่รู้-ไม่เห็น”อย่างที่รายงานข่าว “The Politico” เขาสรุปเอาไว้...
ด้วยเหตุนี้...หรือด้วยเหตุเพราะเจ็บไข่-ไม่เจ็บไข่ หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ เลยทำให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี “นายRobert Habeck” และรัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส “นายBruno Le Maire” ต้องเดินขาถ่าง ขากาง กระย่องกระแย่งออกมาแถลงถึง “แถลงการณ์ร่วม” ระหว่าง 2 ประเทศ ที่พร้อมจะร่วมปฏิเสธและคัดค้านการออกกฎหมาย “IRA”ของสหรัฐฯ และปลุกเร้าให้ระบบอุตสาหกรรมยุโรปยืนหยัด เคียงข้างกันและกัน ในการเผชิญหน้ากับการกีดกันทางการค้าในตลาดโลก จังหวะเดียวกับที่ “นายโอลาฟ ชอลซ์” ได้ออกมารับสารภาพถึง “การขยายตัวของโลกหลายขั้วอำนาจในระดับพื้นฐาน” และกระตุ้นให้บรรดาประเทศยุโรปหันมาให้ความสำคัญและความร่วมมือกับบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่”ทั้งหลาย...
อันนี้...ก็เลยยิ่งเป็นอะไรที่สอดคล้องต้องกันเอามากๆ กับความคิด ความเห็นของประธานเวทีประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” (BRICS International Forum) อันถือเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่าบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ อย่าง “นางPurnima Anand”ชาวอินตะระเดีย ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นล่าสุดไว้ว่า “นี่คือช่วงเวลาที่อำนาจกำลังจะย้ายขั้ว...จากตะวันตกมาสู่ตะวันออก!!!” ด้วยเหตุเพราะบรรดาประเทศเล็กประเทศน้อยต่างหันมาให้ความสนใจและให้สำคัญกับ “BRICS”เตรียมยื่นสมัครสมาชิกอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ไม่ว่าซาอุดีอาระเบีย ตุรกี อาร์เจนตินา ฯลฯ และอีกหลายต่อหลายประเทศ โดยได้อธิบายเสริมเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า “อันที่จริง...ไม่ใช่เป็นเพราะเราต้องการแข่งขันกับเศรษฐกิจตะวันตก แต่เพราะเราไม่ต้องการพัฒนาตามแบบแผนบางประการของตะวันตก หรือประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก เราเพียงต้องการแบบแผนใหม่ๆ ที่บรรดาชาติสมาชิกย่อมมีสิทธิ์เท่าเทียมกันและมีโอกาสเติบโตไปด้วยกัน มันเป็นเวลานานแล้วที่อำนาจตะวันตกได้ใช้โลกทั้งโลกเพื่อสนองตอบผลประโยชน์ของตน และด้วยแบบแผนเช่นนี้เลยทำให้บางประเทศเติบโตสูงเอามากๆ ขณะที่อีกหลายประเทศมีแต่ทรุดต่ำลง อีกทั้งแทบไม่มีโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจตัวเองได้เลย แต่มาถึงทุกวันนี้บรรดาประเทศตะวันออกเริ่มเข้าใจแล้วว่าโลกตะวันตกเป็นเช่นไรและอะไรที่ดีกว่าสำหรับพวกเขา...”นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ น่าฟัง-ไม่น่าฟัง ก็ลองไปทบทวน หวนคิด เอาเองก็แล้วกัน...