เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องไปว่าเรื่อง “เศรษฐกิจ” กันอีกนั่นแหละทั่น!!! คือเผอิญไปอ่านข้อเขียนของอาเฮีย “สุทธิชัย หยุ่น” ในเว็บไซต์ “ไทยโพสต์”เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่อง “สัญญาณเตือนภัยปีหน้า : เมื่อตลาดเพี้ยน : ไม่ทำงานดังคาด”ที่แม้จะเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางวิชาการ ทางเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ไม่ว่าประเภท Market dysfunction, mark to market, capital loss, leverage, private credit market, private equity ฯลฯ ชนิดเล่นเอาหูอื้อ ตาลาย ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้ามิใช่น้อย แต่ถ้าหากสรุปรวมความโดยคร่าวๆ ก็พอสะท้อนให้เห็นว่าผู้ที่มีบทบาท หน้าที่ ในด้านเศรษฐกิจบ้านเรา อย่างผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ท่านน่าจะเริ่มออกอาการขนหัวลุก-ขนคอตั้งขึ้นมามั่งแล้ว!!!
ด้วยเหตุเพราะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปีหน้า...ออกจะเป็นอะไรที่ “ศุกร์ 13 ฝันหวาน” อยู่พอสมควร จากการได้ไปร่วมเวทีประชุมระดับโลก ไม่ว่าธนาคารโลก หรือ IMF ก็แล้วแต่ ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านเลยได้ข้อสรุปประมาณว่า “เศรษฐกิจโลกปีหน้า...น่าจะลำบาก!!!” โดยบรรดา “ปัญหา”ต่างๆ คงไม่ได้มีที่มาจากบรรดาประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย แต่น่าจะมาจากบรรดาประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่ายุโรป อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ (จากที่ที่ปลอดภัยที่สุด-ในตลาดที่ปลอดภัยที่สุด-สินค้าที่ปลอดภัยที่สุด) อันส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกกันในภาษาปะกิตและธุรกิจว่า “Market Dysfunction” หรือ “ตลาดเพี้ยน-ตลาดไม่ทำงาน”อะไรประมาณนั้น...
แต่อันที่จริง...ถ้าไม่อยากปวดเศียรเวียนเกล้า หูอื้อ ตาลาย แค่หมั่นอ่านข่าว ติดตามข่าว ความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจระดับโลกไปเป็นระยะๆ หรืออย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ก็น่าจะพอสรุปได้มานานแล้วว่า แนวโน้มที่จะลำบาก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงอยู่แล้วแน่ๆ!!! โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาไปร่วมเวทีประชุมธนาคารโลก หรือ IMF เอาเลยก็ยังได้ เพราะแม้แต่ตัวประธานธนาคารโลกเอง “นายDavid Malpass”ท่านก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แบบตรงไป-ตรงมา พูดจาเอาไว้ชัดเจน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า...“โลกกำลังดำดิ่งไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า” ไม่ต่างไปจากผู้บริหาร IMF “นางKristalina Georgieva”ที่ออกมาประสานเสียงคอรัสและรัดคอ เอาไว้ประมาณว่า “ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจะเริ่มแสดงตัวให้เห็นชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ (2022) และไตรมาสแรกของปีหน้า (2023)”...
หรือผู้บริหารบริษัทวาณิชธนกิจระดับโลก อย่าง “JP Morgan Chase” “นายJamie Dimon”ที่ได้ออกมา “เตือน”บรรดานักลงทุนเอาไว้ตั้งแต่ไก่โห่ ว่าให้ “เตรียมรับมือกับพายุเฮอริเคนทางเศรษฐกิจ” อันเนื่องมาจากเศรษฐกิจโลก สหรัฐฯ และยุโรปกำลังเจอกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงกลางปีหน้า ไปจนผู้ประกอบการทางธุรกิจอย่าง CEO บริษัท “FedEx”“นายRajesh Subramaniam” ที่อาศัยข้อมูล ข้อเท็จจริง จากการประกอบธุรกิจชนิดนี้ เป็นรากฐานในการฟันธงและฟันเฟิร์มว่า “เรากำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระดับทั่วทั้งโลก” หรือแม้แต่นักเขียน นักวิเคราะห์เศรษฐกิจชื่อดังระดับโลก อย่าง “นายRobert Kiyosaki” ผู้เขียนหนังสือขายดิบ-ขายดีเรื่อง “Rich Dad-Poor Dad”ยังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำพูดประโยคที่ว่า “ผมคาดว่า...การพังพินาศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลกกำลังจะมาถึง” ตามด้วยสำนักข่าวเศรษฐกิจระดับโลก อย่าง “Bloomberg”อีกเช่นกัน ที่ออกมาสวมบท “หมอลักษณ์ เรขานิเทศ”บ้านเรา ด้วยการฟันธงและฟันเฟิร์มไว้ล่วงหน้าว่า “การพังทลายของพันธบัตรรัฐบาลในรอบ 70 ปีกำลังจะเกิดขึ้น” เช่นเดียวกับหัวหน้าการลงทุนแห่งบริษัท “Bleakley Advisory Group” “นายPeter Boockvar” ที่สรุปว่า...“ฟองสบู่พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก...กำลังจะแตก” ฯลฯ
คือเพียงเท่านี้...ก็น่าจะพอขนหัวลุก ขนคอตั้ง ได้พอสมควรแล้ว เพราะแต่ละคน แต่ละราย ล้วนแต่ระดับ “กูรู-กูรู้”ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น ก็น่าจะเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจ บริษัท “Allianz” เครือข่ายของบริษัทบริหาร-จัดการลงทุน “PIMCO”บริษัทที่ดูแลการลงทุน การค้าขายตราสารระดับโลก มูลค่าไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ อย่าง “นายMohamed A. El-Erian” นั่นแหละ ที่ได้มองแนวโน้มความเป็นไปเช่นนี้ว่าเป็นคล้ายๆ “ช่วงระยะแห่งการเปลี่ยนผ่าน” อะไรทำนองนั้น โดยมีปัจจัย 3 ประการ อันประกอบไปด้วย 1. แรงกดดันในเรื่องซัปพลาย อันเนื่องมาจากปริมาณความต้องการที่ไม่เพียงพอกำลังเคลื่อนย้ายไปสู่การสนองตอบความต้องการที่ไม่เพียงพออีกด้วย 2. ความขึงตึงของธนาคารกลาง หรือการสิ้นสุด ยุติ หมดยุคแห่งความคล่องตัวอันไร้ขอบเขตของธนาคารกลาง และ 3. ความเปราะบางของตลาด หรือการเพิ่มขึ้นไม่ว่าในแง่ความถี่และความรุนแรงของตลาดการเงินบรรดาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้นี่เอง ที่จะเป็นตัวดัดแปลงรูปโฉมของ “เศรษฐกิจแห่งอนาคต” ภายในอีกไม่กี่ปีนับจากนี้...
คือพูดง่ายๆ ว่า...สิ่งที่กำลังใกล้เจ๊ง ใกล้ฟองสบู่แตก ใกล้ถึงกาลล่มสลาย ใกล้ถึงจุดที่ต้องเจอกับ “ความเปลี่ยนแปลง” ก็คือ “เศรษฐกิจแบบเก่า”หรือเศรษฐกิจที่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือ ภายใต้อำนาจ อิทธิพล ของบรรดา “โลกตะวันตก”ทั้งหลาย หรือบรรดาประเทศพัฒนาแล้วมาโดยตลอดนับเป็นศตวรรษๆนั่นเอง!!! โดย “ความเปลี่ยนแปลง” ที่ว่า...ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของ “นายMohamed A. El-Erian”ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวบุคคล สังคม บริษัท รัฐบาล ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองควบคู่ไปด้วย ส่วน “เศรษฐกิจแบบใหม่” หรือ “เศรษฐกิจแห่งอนาคต” จะมีรูปโฉมโนมพรรณไปลักษณะไหน แม้ว่าหัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจรายนี้ จะยังไม่สามารถระบุรายละเอียดที่แน่ชัด ไม่สามารถวาดภาพจินตนาการออกมาได้ชัดเจน แต่บรรดาสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวง เหล่านี้...ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้อง “หาคำตอบ” เอาจากบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่”หรือจาก “โลกตะวันออก”อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้อยู่แล้วแน่ๆ ในฐานะที่ไม่ได้เป็นตัว “สร้างปัญหา”แถมอาจยังพอมีเรี่ยวมีแรงที่จะ “แก้ปัญหา”ได้อีกด้วย โดยเฉพาะถ้าโลกในอนาคตเบื้องหน้าได้กลายสภาพเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไม่ใช่ “โลกขั้วอำนาจเดียว”อีกต่อไปแล้ว...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ และน่าสนใจเอามากๆ ว่าด้วย “ความเปลี่ยนแปลง”ดังกล่าว จะนำพาโลกทั้งโลก ประเทศแต่ละประเทศ สังคมแต่ละสังคม รัฐบาลแต่ละรัฐบาล ไปในทิศทางแบบไหน อย่างไร กันแน่??? และแน่ล่ะว่า...ผู้ที่จะให้คำตอบเรื่องนี้คงไม่ใช่มีแต่เฉพาะ “ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย”เพียงรายเดียวเท่านั้น เพราะถึงจังหวะนั้น...คงไม่ใช่แค่ “Market” หรือแค่เฉพาะ “ตลาด” เท่านั้นที่จะ “Dysfunction” ไม่ทำงานไปตามปกติ แต่ไม่ว่าจะปัจเจกบุคคล สังคม รัฐบาล ไปจนระบบการเมือง-การปกครอง ก็อาจ “Dysfunction”ควบคู่ไปด้วยเอาเลยก็ไม่แน่!!!
ด้วยเหตุนี้...คงต้องหันมาเร่งให้ความสนใจกับศัพท์แสงในด้านอื่นๆ ให้มากๆ เข้าไว้ อย่าเอาแต่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ที่ก่อให้เกิดความปวดเศียรเวียนเกล้า หูอื้อ ตาลาย แต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้ายังมัวแต่วนไป-วนมาอยู่กับ “3 ป.- 3 ลุง” เรื่องคุณพี่ “โทนี-โทนาฟ” จะแลนด์สไลด์-ไม่แลนด์สไลด์โดยไม่คิดจะไปไหน หรือยังซ้ำๆ ซากๆ อยู่กับเรื่อง “คุณม้า-อรนภา” ตบหัวเด็กด้วยความเกรี้ยวกราด หรือลูบหัวเด็กด้วยความเอ็นดู เรื่อง “ทนายตั้ม” หิวแสง-ไม่หิวแสง ฯลฯ ฯลฯ อะไรทำนองนี้ อันนี้... “Mark to Market” ไว้ได้เลยว่า โอกาสที่จะ “Capital Loss” กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งสังคม และทั้งประเทศชาติ โดยไม่มีอะไรจะไป “Leverage”ได้เลย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ!!!