ไหนๆ...เมื่อต้นสัปดาห์ได้ว่ากันถึงเรื่อง “เศรษฐกิจแบบใหม่” หรือเศรษฐกิจโลกทั้งระบบที่กำลังถูกแปลงโฉมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมๆ ตามความคิด ความเห็น ตามการคาดการณ์ของ “กูรู-กูรู้” ระดับหัวหน้าที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งบริษัท “Allianz” เครือข่ายการลงทุนระดับโลก อย่าง “นายMohamed A. El-Erian” ดังนั้น...ปิดท้ายสัปดาห์นี้คงต้องขออนุญาตวาดภาพ วาดจินตนาการให้เห็นถึง “โลกแบบใหม่” อันอาจถือเป็นตัวขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในลักษณะที่ว่า ซึ่งกำลังปรากฏตัวให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...
อีกทั้งเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี้...เผอิญเหลือบไปเห็นข่าวคราว เรื่องประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” อย่างอินตะระเดีย ที่เคยต้องตกเป็น “อาณานิคม” ของพวกฝรั่งมานานนับศตวรรษ แต่มาบัดนี้นอกจากจะมาแรงแซงโค้ง เบียดซ้าย-เบียดขวาเล่นเอาอดีตจ้าวอาณานิคมอย่างอังกฤษ ตกคู ตกคลอง หล่นจากประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 5 ต้องหันไปดมฝุ่นดมขี้ตีนประเทศซึ่งเคยเป็นอาณานิคมของตัวเอง อย่างอินตะระเดียที่สามารถผงาดขึ้นมาแทนที่ได้อย่างเป็นเนื้อ เป็นหนัง แต่ก็ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าว่ากันความคิด ความเห็น ของ “กูรู-กูรู้” ในระดับโลกอีกด้วยต่างหาก คือทั้งบริษัทประเมินสถานะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ อย่าง “S&P” และบริษัทวาณิชธนกิจระดับโลก อย่าง “Morgan Stanley” ที่ได้สรุปกับสำนักข่าว “CNBC” แบบตรงไป-ตรงมา ว่าแนวโน้มที่ขนาดเศรษฐกิจของคุณปู่อินตะระเดีย จะมาแรงแซงโค้ง ถึงขนาดผงาดขึ้นเป็นประเทศเศรษฐกิจอันดับ 3 แซงญี่ปุ่น-ยุ่นปี่และแซงเยอรมนี ภายในสิ้นทศวรรษนี้ น่าจะเป็นได้สูงเอามากๆ เพราะขนาด “GDP” ที่โตแล้ว-โตเล่ายิ่งกว่าโตโยต้า ทำท่าว่าจะโตเพิ่มมากกว่าเท่าตัวภายในปี ค.ศ. 2030 อยู่แล้วแน่ๆ!!!
นี่...ประเทศอดีตอาณานิคม ประเทศเศรษฐกิจใหม่ ที่กำลังรุ่งโรจน์อยู่ในทุกวันนี้นี่แหละ ย่อมทำให้โลกทั้งโลกเปลี่ยนหน้า-เปลี่ยนตา เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือจากยุค “อาณานิคม” เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย และคงไม่ใช่แต่เฉพาะคุณปู่อินตะระเดียเพียงรายเดียวเท่านั้น ในแต่ละซีกโลก ใน “แนวรบ” แต่ละด้าน ความเปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าวยิ่งค่อยๆ ปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที อย่างเช่นในภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งแถบ จากที่เคยต้องถูกพวกฝรั่งอย่างบรรดา “จ้าวอาณานิคม” ทั้งหลาย หันซ้าย-หันขวามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกาในภายหลัง มาบัดนี้...ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของ “กูรู-กูรู้” ระดับบรรณาธิการวารสาร “Russia in Global Affairs” และประธานสภา “Council on Foreign and Defense Policy” รวมทั้งยังเป็นผู้อำนวยการวิจัยของสำนัก “Think-Tank” “The Valdai International Discussion Clubs” ของรัสเซียเขาอีกต่างหาก อย่าง “นายFyodor Lukyanov” ที่ได้ออกมาฟันธง-ฟันเฟิร์มและตั้งคำถามไว้แสบสันเอามากๆ ในข้อเขียน บทความล่าสุดเรื่อง “Profound change has come to the Middle East and Russia has learned the lesson, but what about US?” หรือการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งกำลังมาถึงตะวันออกกลางโดยที่รัสเซียได้เรียนรู้ถึงบทเรียนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ผู้ที่ยังอยากจะดำรงรักษา ความเป็น “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาเท่านั้น ที่อาจหลับตื่น-ฟื้นไม่มีเอาง่ายๆ...
คือโดยเนื้อหา-สาระ โดยเหตุผล-ข้ออ้าง ที่ “นายFyodor Lukyanov” ท่านว่าไว้ คงไม่ใช่แค่หวังจะโปรปะกันดาอยู่แล้วแน่ๆ แต่คงต้องยอมรับว่าถือเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง อันมิอาจปฏิเสธ หรือจากที่บรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ล้วนแล้วแต่ถูก “หันซ้าย-หันขวา” โดย “อำนาจภายนอก” หรือโดยบรรดาพวก “จ้าวอาณานิคม” ทั้งหลายมาโดยตลอด ถูกขีดเส้น ตีเส้น แบ่งแผนที่ออกเป็นดินแดนต่างๆ แล้วยุแยงตะแคงรั่วให้แต่ละประเทศหันมาห้ำหั่นซึ่งกันและกัน ตามแบบฉบับการ “แบ่งแยก-และปกครอง” หรือตามแบบ “พิมพ์นิยม” ของบรรดานักล่าอาณานิคมทั้งหลาย แต่มาบัดนี้...การอุบัติขึ้นมาของ “อำนาจท้องถิ่น” ภายในภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นตุรกี อิหร่าน หรือซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ กำลังกลายเป็นผู้กำหนดเกม กำหนดแนวนโยบายต่างๆ ให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นๆ หรืออย่างเป็น “อิสระ” ไปจากอำนาจภายนอกยิ่งเข้าไปทุกที...
ไม่ใช่แค่เฉพาะตุรกีเท่านั้น...ที่กลายมาเป็น “ดุลถ่วง” ต่อความพยายาม “ขยายตัว” ขององค์กรพันธมิตรทางทหารในยุโรปอย่าง “นาโต” ที่พยายามคืบคลานเข้าไปในสวีเดน ฟินแลนด์ รวมทั้งยังไม่ได้คิดจะ “ต่อต้านรัสเซีย” เหมือนอย่างบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย หรืออิหร่านที่ยืนหยัดแลกหมัดกับอเมริกา-ยุโรปมานานนับทศวรรษ ไม่เพียงแต่ยังไม่ถูกรุมเหยียบ รุมกระทืบให้ตายคาตีนเอาง่ายๆ แต่ยังกลับเพิ่มบทบาท อิทธิพลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ และที่สำคัญเอามากๆ ก็คืออภิมหาเศรษฐีน้ำมันซาอุดีอาระเบียและประเทศบริวาร ที่ไม่เพียงแต่ปฏิเสธคำขอร้องและวิงวอนของผู้นำอเมริกา ในเรื่องการลดพลังการผลิตน้ำมันลงวันละ 2 ล้านบาร์เรลแบบชนิดหน้าแหก หน้าแตก ไปเป็นริ้วๆ แต่ล่าสุด...การเดินทางมาเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของผู้นำมหาอำนาจคู่แข่งตัวฉกาจของอเมริกาไม่น้อยไปกว่ารัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีนนั้น ช่างเป็นอะไรที่โอ่อ่า อลังการ เต็มไปด้วยสีสันบรรยากาศที่คึกคักเอามากๆ...
โดยเห็นว่าช่วงวันศุกร์นี้ (9 ธ.ค.) ถือเป็นวาระ โอกาส ในการประชุมสุดยอดผู้นำจีนกับบรรดาชาติอาหรับอีกถึง 20 ประเทศอีกซะด้วย หรือเป็นการประชุม “China-Arab summit” ในซาอุดีอาระเบีย คือนับตั้งแต่ประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนเขาเคยพยายามลากเลื้อย โอบกระหวัดรัดพันเข้าไปในภูมิภาคตะวันออกกลางมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2004 โน่นเลย โดยการจัดตั้งเวทีความร่วมมือที่เรียกกันว่า “China-Arab States Cooperation Forum” หรือ “CASCF” มาตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถรัด สามารถพัน บรรดาชาติต่างๆ ในตะวันออกกลางได้ง่ายๆ เพราะอำนาจ อิทธิพล ของคุณพ่ออเมริกาและฝรั่งยุโรปนั่นแหละเป็นหลัก แต่มาในช่วงหลังๆ หรือเมื่อปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมานี่เอง ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับบรรดาชาติอาหรับในตะวันออกกลาง ชักเพิ่มขึ้นแบบพรวดๆ พราดๆ จนผู้ที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของชาติอาหรับก็คือ “พญามังกรจีน” รายนี้นี่เอง!!! ที่มีปริมาณการค้าสูงถึง 300,000 ล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนปีนี้ถ้าดูจากปริมาณการค้า 3 ไตรมาสแรก ก็ปาเข้าไปถึง 319,000 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มกว่าช่วงปีที่แล้วถึง 35.28 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากบรรดาชาติอาหรับทั้งหลาย ไม่เพียงแต่ไม่ได้คิดจะแสดงอาการต่อต้าน คัดค้าน ถ่วงรั้ง หรือปิดล้อม ต่อประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาไม่ว่ารัสเซียหรือจีนก็ตาม โดยส่วนใหญ่...ยังพร้อมที่จะให้ “พญามังกร” โอบกระหวัดรัดพัน พร้อมที่จะเข้ามาเป็น “หุ้นส่วน” ใน “อภิมหาโครงการเปลี่ยนโลก” หรือโครงการ “Belt and Road Initiative” อีกด้วยต่างหาก...
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่กลายเป็นตัวก่อให้เกิดภาพ เกิดรูปร่าง-หน้าตา ของโลกยุคใหม่ หรือโลกแบบใหม่ ปรากฏให้เห็นค่อนข้างชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที โลกที่แทบไม่มีผู้หนึ่ง-ผู้ใด สามารถ “หันซ้าย-หันขวา” โลกทั้งโลกแบบเก่าๆ หรือแบบยุค “อาณานิคม” ได้อีกต่อไปแล้ว โลกที่ไม่ได้มี “จ้าวโลก” หรือ “ประมุขโลก” เป็น “ขั้วอำนาจเดียว” โดยลำพังอีกต่อไป แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วย “ขั้วอำนาจอันหลากหลาย” โลกที่เป็น “พหุภาคีทางอำนาจ” อันเนื่องมาจากความพยายาม “เติบโตอย่างเป็นอิสระ” ของบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง ในทั่วทุกภูมิภาค ทั่วทุกซีกโลก ไม่ว่าจะในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง หรือกระทั่งในสวนหลังบ้านของอเมริกา อย่างบรรดาประเทศละตินอเมริกา และด้วยแนวโน้มความเป็นไปของ “โลกแบบใหม่” นี่เอง ที่แทบ “ไม่เหลือที่ยืน” ให้กับผู้ที่พยายามจะดำรงตนเป็น “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรที่ยืนเคียงบ่า-เคียงไหล่ เคยร่วม “ล่าอาณานิคม” กันมานานแสนนาน โดยเฉพาะถ้าหากบรรดาประเทศเหล่านี้ยังไม่คิดที่จะปรับตัว-ปรับใจ หรือ “ปรับกระบวนทัศน์” ในการมองโลกเสียใหม่ โอกาสที่จะต้อง “ปอกกล้วยเปลี่ยวในบ้านร้าง” หรือต้อง “ล่มสลาย” ไปพร้อมๆ กับการพังพินาศของระบบ “เศรษฐกิจแบบเก่า” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...