ช่วงระหว่างนี้...การประชุม พบปะ เจรจา ที่บรรดาผู้นำโลก ผู้นำประเทศ ต่างยุรยาตรย่างเยื้องโคจรมาเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ซึ่งกันและกัน ค่อนข้างจะอุ่นหนาฝาคั่งเสียเหลือเกิน ไม่ว่าประชุม “อาเซียน” ที่ “ประมุขโลก” อย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” ดันเกิดอาการ “ลิ้นแข็ง”ด้วยสาเหตุอันใดก็มิอาจสรุปได้ ถึงกับมิอาจกระดกลิ้นเรียกประเทศเจ้าภาพกัมพูชา คัมโบเดีย จนกลายไปเป็นประเทศโคลอมเบีย ชนิดคนละประเทศ คนละซีกโลกไปเสียฉิบ!!!
ไปจนการประชุมกลุ่มประเทศ “G20” ณ เกาะบาหลี ที่เจ้าภาพอินโดนีเซียถึงกับต้องออกมาขอร้อง วิงวอน บรรดาชาติตะวันตกไว้ก่อนล่วงหน้าประมาณว่า “ได้โปรดเถิด!!!...อย่ามาบาหลีเพื่อทะเลาะกัน” หรือที่ประธานาธิบดี “Joko Widodo”ท่านสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า “G20 ไม่ใช่เวทีการเมือง แต่เป็นเวทีทางเศรษฐกิจและการพัฒนา” อะไรประมาณนั้น และท้ายสุดก็คือเวที “เอเปก” ที่ผู้นำประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา อย่างท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ท่านหมายมั่น ปั้นมือ หมายที่จับไม้ จับมือ บรรดาผู้นำประเทศ ผู้นำโลก ฉุดกระชากลากถูให้มาเชลล์ชวนชิม “ปลากุเลาร้านป้าอ้วน”ให้จงได้...
ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ คงหนีไม่พ้นต้องลองไปชั่งน้ำหนัก ไปตรวจเช็กความเคลื่อนไหว กิริยาอาการของบรรดาผู้นำชาติต่างๆ เขาไว้สักหน่อย โดยเฉพาะจุดที่ถือเป็น “ไฮไลต์”ของการเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ในช่วงระหว่างนี้ นั่นคือการพบปะแบบชนิดหน้าต่อหน้า-ตัวต่อตัว ของผู้นำเบอร์ 1 และเบอร์ 2 ของโลก หรือระหว่างผู้นำจีน ประธานาธิบดีสี-ทนได้ “สี จิ้นผิง” กับผู้นำอเมริกา คุณปู่ “โจ ซึมเซา” ที่เกาะบาหลี ก่อนหน้าการประชุม “G20”จะเริ่มต้นช่วงวันอังคาร-วันพุธ ที่ 15-16 พ.ย. ที่เห็นว่าเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กันร่วม 3 ชั่วโมงเต็มๆ โดยระหว่างเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จะมีการจี้ การไช มีความพยายามสกัดจุดคีมึ้ง จุดหยิมต๊ก ของฝ่ายใด-ฝ่ายหนึ่ง หรือไม่? ประการใด? โดยรวมๆ แล้ว...คงต้องหาทางแปลความ ตีความกันเอาเอง แม้ว่าโดยสีสันบรรยากาศ อาจถือเป็น “นิมิตหมายที่ดี”อยู่บ้างตามสมควร คือดีกว่าไม่มีโอกาสเจอหน้า เจอตา กันเลย เพราะด้วยการพบปะระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่าย ย่อมหนีไม่พ้นต้องคุยกันเรื่อง “ความเป็นไปของโลก”นั่นแหละเป็นหลัก...
และถ้าว่ากันถึงโลกช่วงนี้...อะไรต่อมิอะไรมันน่าจะเป็นไปอย่างที่ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คุณ “คริสตาลินา จอร์จิเอวา” (Kristalina Georgieva) ท่านได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ “วอชิงตัน โพสต์” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “เรากำลังเดินละเมอ...ไปสู่โลกที่ยากจนยิ่งขึ้นและไม่ปลอดภัยยิ่งขึ้น!!!” ทำนองนั้น หรือด้วยเหตุเพราะเศรษฐกิจโลก มันกำลังถูกแบ่ง ถูกแยก ออกเป็นขั้ว เป็นฝ่าย กลายเป็นพื้นที่แห่งการแข่งขันแบบชนิดเอาเป็น-เอาตาย หรือไม่มึง-ก็กูต้องตายไปข้าง โดยเฉพาะเมื่อประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 อย่างอเมริกา กับมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 อย่างจีน หันมาโซ๊ยกันและกันตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า”โน่นเลย ไม่ว่าความขัดแย้งในเรื่องภาษี ความไม่ลงรอยในกรณีไต้หวัน ความพยายามเตะตัดขากันและกันในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ความไม่มั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ไปจนถึงความแตกต่างในด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงของทั้งสองฝ่าย ฯลฯ จนเกิดฉากสถานการณ์ในแบบที่ผู้อำนวยการหญิงเชื้อสายบัลแกเรียรายนี้ท่านอุปมา-อุปไมยเอาไว้ประมาณว่า “ไม่ต่างไปจากการเปิดจุกขวดให้ยักษ์จินนี่ออกมา”ถึงขั้นนั้น...
หรือก่อให้เกิดมูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจโลกไม่น้อยไปกว่าปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ตกประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งเกิดการปะ-ฉะ-ดะ ระหว่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรยุโรป กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียในกรณียูเครน จนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้การขาดแคลนพลังงานแปรสภาพเป็น “ภาวะเงินเฟ้อ”ลุกลามไปทั่วทั้งโลก ส่งผลรุนแรงไม่น้อยกว่า 40 ประเทศไปแล้วในทุกวันนี้ หรือทำให้ภาวะเงินเฟ้อโลกที่เคยอยู่ที่ 4.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี ค.ศ. 2021 ทะลุฟ้า ทะลุเมฆขึ้นไปถึง 8.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ หรือปี ค.ศ. 2022 อยู่แล้วแหงมๆ ยิ่งเมื่อมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 อย่างคุณพ่ออเมริกาพยายามแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการ “ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” แบบเดินหน้าใส่เกียร์ 5 ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดฉากสถานการณ์อย่างที่ประธานธนาคารโลก “นายเดวิด มัลพาสส์”(David Malpass) ออกมาเปิดเผยไว้เมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า ก่อให้เกิด “วิกฤตหนี้สิน”ต่อบรรดาประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศที่มีรายได้ออกไปทางต่ำๆ-กลางๆ ด้วยเหตุเพราะปริมาณหนี้สินที่เพิ่มจาก 6.9 ล้านล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปถึง 9.3 ล้านล้านดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้นไปอีก 5.3 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา เมื่อเจอกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นๆ บรรดาประเทศเล็กๆ จนๆ ทั้งหลาย ย่อมต้องมีแต่ “ตาย...กับ...ตาย” ลูกเดียวเท่านั้นเอง!!!
นี่...ความเป็นไปของโลกมันเลยน่าห่วง น่ากังวล อยู่ ณ อีตรงจุดนี้ หรือในเรื่อง “เศรษฐกิจ” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องการแย่งกันเป็นใหญ่ เป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 หรือเบอร์อะไรต่อมิอะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลกที่เจ้าภาพการประชุมกลุ่มประเทศ “G20”อย่างอินโดนีเซีย เขาไม่เพียงไม่อยากเปิดเวทีเพื่อให้เกิดการ “ทะเลาะ”กัน แต่ยังพยายามเน้นความสำคัญ เน้น “คำขวัญ” ของการประชุมคราวนี้ไว้ด้วยว่า “Recover Together, Recover Stronger”หรือร่วมกันกอบกู้-ฟื้นฟู ร่วมกันสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจให้ยิ่งๆ ขึ้นๆ ไป อะไรประมาณนั้น คือไม่ว่าจะเบอร์ 1 เบอร์ 2 หรือเบอร์อะไรก็แล้วแต่ ถ้าหันมา “ร่วมมือ-ร่วมใจ” ซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็น่าจะ “โอเช” น่าจะพออยู่รอดปลอดภัยไปด้วยกันทั้งสิ้น และนี่...น่าจะถือเป็นความรู้สึกของบรรดาชาติเล็ก ชาติน้อย ทั้งหลาย ไม่ว่าเจ้าภาพอาเซียนกัมพูชา เจ้าภาพ G20 อินโดนีเซีย หรือแม้แต่เจ้าภาพเอเปกบ้านเรา...
แต่ก็นั่นแหละ...บรรดาความปรารถนา-ความต้องการของชาติเล็ก-ชาติน้อยเหล่านี้ คงยากส์ส์ส์ส์จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรต่อมิอะไรให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย-วัตถุประสงค์ของแต่ละชาติได้ง่ายๆ ตราบใดที่บรรดาชาติใหญ่ๆ ชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ยังพร้อมที่จะ “ช้างสาร...ชนกัน”จนสุดท้าย “หญ้าแพรก...ย่อมต้องแหลกลาญ” ไปจนได้ ด้วยเหตุนี้...ท่ามกลางสีสันบรรยากาศ ที่ดูเหมือนจะเป็น “นิมิตหมายอันดี” อยู่บ้างตามสมควร คือเมื่อผู้นำเบอร์ 1 กับเบอร์ 2 โคจรมาเจอกัน มาเจ๊าะแจ๊ะเจรจากันร่วมๆ 3 ชั่วโมง แต่นอกเหนือไปจาก “วาทะ”หรือคำพูดที่ต่างต้องนำมาแปลความ ตีความ ด้วยกันทั้งนั้น คงหนีไม่พ้นต้องหันไปอาศัย “พฤติกรรม” หรือ “การกระทำ” เป็นพจนานุกรม เป็นปทานุกรม อย่างมิอาจปฏิเสธ...
ดังนั้น...ไม่ว่าคุณปู่ “โจ ซึมเซา”ท่านจะลิ้นแข็ง-ลิ้นอ่อน กันในอีท่าไหน จะหยอดคำหวานแบบหยดย้อย หยาดเยิ้ม หรือไม่? เพียงใด? แต่ถ้าหาก “นักการเมืองอเมริกัน” ไม่ว่าอย่าง “นายMike Gallagher” สมาชิกสภาผู้แทนรัฐวิสคอนซิน หรือ “นายDan Sullivan”วุฒิสมาชิกรัฐอะแลสกา ยังพร้อมรวมหัวสนับสนุนให้มีการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์สำคัญๆ รวมทั้งการฝึกให้กับเกาะเล็กๆ อย่าง “ไต้หวัน”ที่ถือเป็น “ส่วนหนึ่งของจีน” ตามนโยบาย “จีนเดียว” ด้วยเหตุผลที่ว่า...เพื่อให้ไต้หวันสามารถป้องกันตัวเองจากการบุกรุกของจีน เช่นเดียวกับที่ยูเครนเจอกับการบุกของรัสเซีย หรือ“บทเรียนอันหนึ่งของยูเครนคือเราต้องเร่งส่งอาวุธให้กับหุ้นส่วนของเรา ก่อนที่การสู้รบจะเริ่มต้นขึ้น เพื่อสร้างโอกาสที่ดีสุดก่อนที่สงครามจะเกิด” อันนี้ต้องเรียกว่า ออกอาการ “หวานเป็นลม...ขมเป็นยา”อย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
หรือแม้แต่ฝ่ายจีนเองก็เถอะ!!!...ไม่ว่าประธานาธิบดี “สี ทนได้” ท่านจะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ จะทนได้-ทนไม่ได้ หรือไม่? อย่างไร? แต่ในฐานะเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการทหาร รวมทั้งผู้บัญชาการสูงสุด ระหว่างการตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เมื่อช่วงวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ท่านได้กล่าวสุนทรพจน์ด้วยคำพูดบางประโยค ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ นั่นคือประโยคที่ว่า... “โลกกำลังย่างเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้ง อย่างไม่เคยมีมาก่อนนับศตวรรษ อันทำให้ความมั่นคงของจีนต้องเผชิญกับความไร้เสถียรภาพ และความไม่แน่นอนของโลกเพิ่มขึ้นๆ และนี่คือภารกิจที่ยากลำบากทางทหาร”ที่จะต้องเร่ง “เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป!!!
ด้วยเหตุนี้...เมื่อแปลความ ตีความ ตามพจนานุกรมแห่ง “การกระทำ” แล้ว คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ความหมายของคำว่า “สันติภาพ”ช่วงนี้ คงไม่ต่างอะไรไปจากคำแปลของ “อภิมหาพระ” บ้านเรา หรือ “ท่านพุทธทาสภิกขุ”ที่เคยอรรถาธิบายไว้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง คือหมายถึงการ “ยืดเวลาออกไป” เพื่อ “เตรียมรับมือกับสงครามใหญ่”ที่กำลังใกล้จะมาถึงในท้ายที่สุดนั่นแล...