ช่วงระหว่างนี้...คงไม่ต้องแวะอเมริกาและยุโรปให้ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ เพราะไม่ว่าจะโดยตัวตนของ “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาหรือพันธมิตรผู้ยังคงอุตส่าห์ยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่อย่างประเทศอียู อีย้วย ทั้งหลายก็ตามที ต่างออกอาการ “เสื่อมโทรม-ทรุดโทรม”ไม่น้อยไปกว่ากันและกันสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม หรือแม้แต่การทหารก็เถอะ เรียกว่า...แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “พระอาทิตย์ยามช่วงเวลาอัสดง” อะไรประมาณนั้น...
ด้วยเหตุนี้...เปิดฉากสัปดาห์นี้น่าจะลองแวะๆ ไปแถวๆ ตะวันออกกลาง หรือแถวๆ ประเทศ “อิหร่าน”น่าจะเหมาะกว่า เพราะโดย “ข่าวล่า-มาเรือ”ในแต่ละเรื่อง แต่ละราว ออกจะเป็นอะไรที่น่าจับตาเอามากๆ ปานประดุจการจับจ้อง “อรุโณทัย”ที่เริ่มๆ ฉายแสง อะไรทำนองนั้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวของสำนักข่าวตะวันตกอย่าง “Business Insider”หรือ “Sky News”เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จริง-ไม่จริงก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ได้ออกข่าวอย่างชนิดเป็นเรื่อง-เป็นราว ว่าเมื่อช่วง 2-3 เดือนที่แล้วหรือประมาณวันที่ 20 ส.ค. เครื่องบินลำเลียง “Ilyushin” หรือ “IL-76”ของรัสเซีย ได้หอบเงินสดๆ มูลค่าราวๆ 140 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตะวันตกที่ถูกยึดได้ในสมรภูมิยูเครน ไปมอบให้เป็นของกำนัลเป็นค่าตอบแทนให้กับประเทศอิหร่าน ที่มีแก่ใจส่งอาวุธที่มีอานุภาพไม่น้อย อย่าง “เครื่องบินโดรน” ไปให้กับกองทัพรัสเซีย ก่อนหน้าการตัดสินใจบุก-ไม่บุกยูเครน จนสามารถก่อให้เกิดฉากสถานการณ์ “เธออยู่ไหน...เมื่อไฟดับ” กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง!!!
หรือแม้แต่สำนักข่าว “FAR News”ของทางการอิหร่านเอง ที่ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ผู้บัญชาการกองกำลังอวกาศของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน หรือ “IRGC” “พลเอกAmir Ali Hajizadeh” เมื่อช่วงวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ถึงความสำเร็จในการประดิษฐ์คิดค้น “ขีปนาวุธซุปเปอร์โซนิค” หรือจรวดที่มีความเร็วเหนือเสียง 5 เท่าขึ้นไป ว่าเป็นขีปนาวุธที่สามารถเจาะทะลวงระบบป้องกันภัยทางอากาศทุกๆ ระบบเท่าที่มีอยู่ในโลกใบนี้ คือทั้งเร็ว ทั้งแม่นยำ อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการหลบหลีกช่องว่างทั้งภายใน-ภายนอก สามารถฝ่าข้ามสนามจรวดและจับเป้าจรวดต่อต้านฝ่ายตรงกันข้ามได้แบบเบิร์ดๆ สบายๆ ชนิดที่ทำให้นายพลผู้นี้ถึงกับกล้ายืนยัน นั่งยัน ประมาณว่า “ภายใน 10 ปีข้างหน้า ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะมีเทคโนโลยีใดๆ ที่สามารถต่อต้านขีปนาวุธซุปเปอร์โซนิครุ่นใหม่ของเราได้เลย...”
นี่...จริง-ไม่จริง โม้-ไม่โม้ สมรักษ์ คำสิงห์-ไม่คำสิงห์ ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ถ้าหากลองย้อนกลับไปใคร่ครวญพิจารณา ถึงศักยภาพของกองทัพอิหร่าน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว กับช่วงระหว่างนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่าแทบไม่ต่างไปจากการ “พลิกหลังตีน”เป็น “หน้ามือ”หรือจากกองกำลังที่สุดแสนจะทรุดโทรม-เสื่อมโทรม กลายมาเป็นกองกำลังที่มีศักยภาพ อานุภาพทางทหารระดับต้นๆของโลก ด้วยขีดความสามารถแห่งการประดิษฐ์คิดค้นอาวุธร้ายๆ ทะลักหลั่งพรั่งพรูออกมาเป็นกระบิๆ ไม่ว่าขีปนาวุธพิสัยไกล พิสัยใกล้ ที่บรรดาพันธมิตรอิหร่านในแต่ละราย ไม่ว่าพวกเฮซบอลเลาะห์ ในเลบานอน พวกฮามาสในปาเลสไตน์ หรือพวกฮูตีในเยเมน ฯลฯ งัดมาใช้โจมตี ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม หรือเครื่องบินโดรน ที่ถูกกองทัพรัสเซียนำมาถล่มยูเครน จนระบบสาธารณูปโภค น้ำประปา-ไฟฟ้าดับกันไปเป็นแถบๆ ฯลฯ...
กระบวนการ-ขั้นตอน ในการ “พลิกหลังตีน”มาเป็น “หน้ามือ” เช่นนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าศึกษา น่าหยิบมาใช้เป็นบทเรียน เป็นข้อคิด อุทาหรณ์ สำหรับประเทศต่างๆได้ไม่น้อย คือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 หรือนับตั้งแต่เกิดการ “ปฏิวัติอิสลาม” ในอิหร่านบรรดาสาวกโคมัยนีทั้งหลาย ก็ยังไม่ได้ถึงน่ากลัว น่าเกรงขามมากมายสักเท่าไหร่นัก บรรดาอาวุธต่างๆ ที่มีใช้กันอยู่ในกองกำลังอิสลาม ที่มักเป็นประเภทพวก“อาสาสมัคร”หรือกองกำลัง “ทหารบ้าน” ที่เรียกว่า “Basij militia” ส่วนใหญ่ก็ได้แก่บรรดาอาวุธตกค้างมาจากสมัย “พระเจ้าชาห์”ที่ถูกโค่นล้มลงไปนั่นเอง คือเป็นอาวุธตะวันตกซะเป็นหลัก ไม่ว่าจะเครื่องบิน F-4D/G Phantom2, F-5A/B, F-14A Tomcat ฯลฯ ของอเมริกา หรือรถถัง British Chieftain ของอังกฤษ ไม่ก็อาวุธจากฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ไปจนโซเวียตรัสเซีย ที่ต้องอาศัยอดีตทหารพระเจ้าชาห์ซึ่งถูกพวกนักปฏิวัติจับไปขังคุกเอาไว้เยอะแยะ ออกมาช่วยฝึก ช่วยสอน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอการเปิดฉากสงครามของประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่างอิรัก ที่ได้รับการยุยง ส่งเสริม จากคุณพ่ออเมริกาและกลุ่มประเทศ “GCC” (The Gulf Cooperation Council) ให้บุกอิหร่านในยุค “ซัดดัม ฮุสเซน” หรือในช่วงปี ค.ศ. 1980-1988 หลังจากเพิ่งโค่นล้มระบอบพระเจ้าชาห์ได้แค่ 5 ปีเท่านั้นเอง...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นต้นราก หรือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดการ “พลิกหลังตีน”เป็น “หน้ามือ”นับแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะไม่เพียงแต่ความทรุดโทรมภายในกองทัพ อันเนื่องมาจากบรรดาอดีตทหารของพระเจ้าชาห์ระดับ “นายพลอาวุโส” จำนวนไม่ต่ำกว่า 85 รายถูกนำไปตัดหัว-คั่วแห้ง จนแทบไม่เหลือติดกองทัพ บรรดาผู้บังคับการ ผู้บัญชาการ ระดับพันเอก พลตรีจำนวนถึง 12,000 ราย ยังถูกบังคับให้ลาออก ไม่ก็ถูกจับไปขังคุกไม่ให้เห็นเดือน-เห็นตะวันอีกต่อไป แต่บรรดาอาวุธร้ายๆ เท่าที่มีอยู่ในมือยังเป็นอาวุธตะวันตกซะอีกต่างหาก ต้องหันไปพึ่งการฝึก การสอน จากอดีตทหารที่ถูกปล่อยออกมาจากคุก หรือต้องหลอมละลายอดีตทหารรุ่นเก่าในกองทัพอิหร่านเข้ากับนักปฏิวัติรุ่นใหม่ จนกลายมาเป็น “กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม”(The Islamic Revolutionary Guard Corps) ที่มีนักรบตั้งแต่อายุ 12 ปีไปจนถึง 70 ปี ผสมปนเปอยู่ในกองทัพเอาเลยก็ว่าได้...
แต่ก็นั่นแหละ...การที่ต้องจำใจใช้อาวุธตกค้างของฝ่ายตะวันตก ในการสู้รบปรบมือกับกองทัพอิรักอย่างยืดเยื้อยาวนานถึง 7-8 ปี ย่อมก่อให้เกิดแรงกดดันต่อกองทัพอิหร่านมิใช่น้อย เพราะการถูก “แซงชั่น”จากนานาชาตินับตั้งแต่เริ่มปฏิวัติอิสลาม หรือนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา ทำให้ไม่เพียงแต่การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นไปแบบติดๆ-ขัดๆ กระทั่งการซ่อมบำรุงอาวุธต่างๆ ยังแทบเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อถูกโจมตีด้วยจรวด “Scud-B” ของอิรักที่ได้จากโซเวียตรัสเซีย แม้จะหันไปขอแบ่งซื้อจากโซเวียต ก็ยังโดนปฏิเสธ เพราะสายสัมพันธ์ระหว่างอิรักและโซเวียตรัสเซียยังคงแน่นเหนียว มีแต่ต้องหันไปพึ่งพา “เกาหลีเหนือ” นั่นแหละเป็นหลัก หรือหันไปแอบซื้อจรวดประเภทพื้นผิว-สู่-อากาศประมาณ 200-300 ลูกจากครอบครัวตระกูลคิม ที่พอช่วยให้ทุเลา เบาบาง ความเสียเปรียบลงไปได้มั่ง...
ด้วย “ข้อจำกัด”หรือด้วย “แรงกดดัน”เช่นนี้นี่เอง...เลยทำให้เมื่อสงครามอิรัก-อิหร่านยุติลงไปหลังจากนั้น 5 ปี หรือในช่วงปี ค.ศ. 1993 เป็นต้นมา กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน หรือ “IRGC”จึงเริ่มต้นเดินหน้าก่อสร้างโรงงานผลิตอาวุธของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตรถถัง ยานยนต์หุ้มเกราะ จรวดและเรดาห์ ไปจนเรือรบ เรือดำน้ำ เครื่องบินโจมตีและเครื่องบินไร้คนขับ หรือโดรน ฯลฯ อย่างเป็นระบบและกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ตระหนัก สำนึก ว่า “ศัตรู”ของตัวเองไม่ใช่แค่ประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียงในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างอิรัก กลุ่มประเทศ “GCC”หรืออิสราเอลเท่านั้น แต่ระดับ “ประมุขโลก”อย่างคุณพ่ออเมริกานั่นแหละเป็นตัวสำคัญ การกำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีในการป้องกันตัวเองจากการข่มขู่ คุกคาม ของมหาอำนาจสูงสุดในโลก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ!!! หรือจำต้องดิ้นรนลดความได้เปรียบ-เสียเปรียบจากความแตกต่างในด้านศักยภาพทางทหาร ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และให้เหมาะสม สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของตัวเอง ที่ยังคงถูก “แซงชั่น” จากโลกตะวันตก อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน นับเป็นทศวรรษๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่ว่ากันว่าทำให้เกิดการออกแบบยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า“ยุทธศาสตร์อสมมาตร” (Asymmetric Strategy) ของกองทัพอิหร่าน นับจากนั้นเป็นต้นมา อันประกอบไปด้วยเสาค้ำหลักๆ 5 เสา นั่นคือ 1. การพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบเคลื่อนที่ 2. การเร่งพัฒนาปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานและขีปนาวุธแต่ละรุ่น 3. การเพิ่มขีดความสามารถของสงครามอิเล็กทรอนิกส์และไซเบอร์ 4. การหาทางจำกัดขีดความสามารถทางอากาศของฝ่ายตรงข้าม และ 5. การต่อต้านภัยคุกคามทางทะเล หรือการเร่งหาทางลดความไม่สมส่วน ไม่ได้สัดส่วน อันเนื่องมาจากความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางทหาร โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาที่มุ่งมาดปรารถนา “ล้มระบอบปกครองอิหร่าน”ลงไปให้จงได้!!!