xs
xsm
sm
md
lg

อิหร่านกับการพลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ (จบ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Michael Elleman ผู้อำนวยการองค์กร IISS
สำหรับสัปดาห์นี้...เลยจำต้องมี “ภาค 2” หรือต้องพยายามรวบรวมเรี่ยวแรง กำลังวังชา เพื่อพูดจาแลกเปลี่ยนเรื่องการ “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” หรือการพัฒนาอาวุธอิหร่าน ต่อจากวันจันทร์แถมพิเศษถึงวันพุธอีกหนึ่งตอน เพราะอย่างที่ว่าไว้แล้วว่า การที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ ผู้ที่หวังโค่นล้ม “ระบอบปกครองอิสลามอิหร่าน” ลงไปให้จงได้!! อย่างคุณพ่ออเมริกา ผู้มีฐานะเป็นถึง “ประมุขโลก” มี “เครื่องจักรสังหาร” หรือมีกองทัพที่ผ่านการ “ปฏิวัติทางทหาร” มาจนประเทศไหนต่อประเทศไหนก็แทบไล่ตามไม่ทัน มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อยู่แล้วแน่ๆ!!!

การกำหนดยุทธศาสตร์แบบ “อสมมาตร” หรือ “Asymmetric Strategy” ของอิหร่าน เพื่อลดความไม่ได้สัดส่วน หรือความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางทหาร จึงมุ่งเน้นไปสู่การ “ลบจุดอ่อน” ที่สำคัญที่สุดนับจากสงครามอิรัก-อิหร่านเป็นต้นมา นั่นคือการโจมตีทางอากาศ โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากองทัพอเมริกัน ที่มีหลักนิยมทางทหารค่อนข้างชัดเจน คือมักมุ่งโจมตีทางอากาศเป็นอันดับแรก เพื่อขจัดกวาดล้างอุปสรรคต่างๆ ก่อนส่งกำลังปฏิบัติการภาคพื้นดินเป็นลำดับถัดไป การพัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบเรดาร์ ไปจนการพัฒนาขีปนาวุธป้องกันและโจมตีของอิหร่าน ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยีจากเกาหลีเหนือ จีน รัสเซีย จึงเริ่มเป็นจริง-เป็นจังนับแต่บัดนั้น หรือถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็น ของผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ อย่าง “Michael Elleman” ผู้อำนวยการองค์กร “IISS” (The International Institute for Strategic Studies) หรือองค์กรต่อต้านการเผยแพร่นิวเคลียร์ สหประชาชาติ และเพื่อนร่วมงานอย่าง “Mark Fitzpatrick” ถึงกับต้องใช้คำว่า “ความต้องการพัฒนาขีปนาวุธของอิหร่านคือสิ่งที่ฝังอยู่ในจิตวิญญาณของชาติ” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

การเชื่อมโยงระบบป้องกันภัยทางอากาศ ผนวกรวมเครือข่ายการตรวจจับด้วยระบบเรดาร์ของหน่วยทหารทุกๆ หน่วยเข้าด้วยกันนับแต่บัดนั้น ให้กลายเป็นระบบป้องกันที่เรียกว่า “The Savom-e-Khordad air-defense system” จนสามารถสอยเครื่องบินลาดตระเวนไร้คนขับแบบทันสมัยสุดๆ หรือเครื่องบิน “RQ-4A Global Hawk” ของคุณพ่ออเมริกาที่เล็ดลอดเข้าไปในช่องแคบฮอร์มุซ เมื่อช่วงวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ชนิดเล่นเอาใครต่อใครอดที่จะตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน จึงถือเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจน ถึงการ “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” ของกองทัพอิหร่านได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการพัฒนาขีปนาวุธแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็น Shahab 1-2-3, Sajjil-1-2, Khorramshahr, Qiam, Ghadr, และ Emad ที่สามารถบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้ด้วย ฯลฯ หรือทำให้ทั้ง “Elleman” และ “Fitzpatrick” ต้องสรุปว่า “มีจำนวนปริมาณที่กว้างขวางใหญ่โตและหลากหลายที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง” หรือแม้แต่นักวิเคราะห์ของ “The US Defense Intelligence Ballistic Missile Analysis Committee” ยังอดไม่ได้ที่ต้องคาดคะเนว่า ขีปนาวุธระดับข้ามทวีป หรือ “ICBM” อาจมีอยู่ในมือกองทัพอิหร่านเรียบร้อยแล้ว เพื่อเอาไว้รับมือกองทัพสหรัฐฯ หรืออดไม่ได้ที่ “เตือน” เอาไว้ล่วงหน้า ว่ายิ่งปล่อยให้มีการพัฒนาโครงการอวกาศของอิหร่านมากขึ้นเท่าใด ยิ่งเท่ากับต้อง เป็นการช่วยร่นระยะพิสัยทำการขีปนาวุธ “ICBM” ของอิหร่าน ที่อาจบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ขึ้นมา ณ วันใด-วันหนึ่ง ก็ไม่แน่...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะเบี้ยน้อย-หอยน้อย แถมถูก “แซงชั่น” แบบสุดโหด-มหาโหดนับเป็นทศวรรษๆ การประดิษฐ์คิดค้นอาวุธป้องกันและโจมตีของอิหร่าน จึงออกจะสอดคล้อง เหมาะสมกับสภาพความเป็นไปของประเทศ ไม่ได้ออกไปทาง “เห็นช้างขี้...ก็คิดขี้ตามช้าง” แต่อย่างใด ไม่ว่าการพัฒนาทางอวกาศที่ไม่ได้มุ่งขันแข่งกับมหาอำนาจอวกาศอย่างอเมริกา แต่กลับหันมาสร้างขีดความสามารถในการรบกวน หรือการสร้างความยุ่งยากให้กับปฏิบัติทางทหารในอวกาศของสหรัฐฯ กันแทนที่ เช่นการปล่อยทุ่นอวกาศ ขยะอวกาศ การก่อกวนคลื่นสัญญาณดาวเทียม การพัฒนาอาวุธพลังงานที่สามารถแพร่พลังงานไปยังดาวเทียมเป้าหมายโดยไม่ต้องใช้กระสุนยิง ฯลฯ หรือการพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับ ลอบดักฟังที่ทำให้พันธมิตรอิหร่านอย่างพวกเฮซบอลเลาะห์ สามารถนำไปใช้รับมือกับพันธมิตรอเมริกาอย่างกองทัพอิสราเอล ในช่วงการปะทะปี ค.ศ. 2006 อย่างชนิดได้ผลเอามากๆ...

หรือแทนที่จะ “ขี้ตามช้าง” ด้วยการทุ่มทุน ทุ่มเท สร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน แบบที่ “เสี่ยสั่งลุย” อย่างคุณพี่จีนกำลังพยายามหายใจรดต้นคอคุณพ่ออเมริกามาติดๆ กองทัพอิหร่าน หรือกองกำลัง “IRCG” กลับหันไปสร้างเรือเร็ว หรือ “Speedboats” เอาไว้ถึง 3,000-5,000 ลำ โดยแต่ละลำต่างติดขีปนาวุธร้ายๆ เอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น หรือกลายเป็นเครื่องมือในการป้องกันและโจมตีที่เรียกว่า “Ultra-Fast Speedboats and Anti-Ship Cruise Missile” ที่สามารถกลุ้มรุมเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยการโจมตีแบบฝูงผึ้ง หรือแบบ “Swarm Attack” โดยอาศัยเรือเร็วติดขีปนาวุธนับร้อยๆ ลำเข้าเล่นงานฝ่ายตรงข้าม อันเป็นอะไรที่สอดคล้อง เหมาะสม กับสภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ของอิหร่านเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่ออาณาบริเวณช่องแคบฮอร์มุซที่มีส่วนแคบที่สุดประมาณ 32 กิโลเมตรเท่านั้น และนั่นเอง...ที่ทำให้เรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ที่คิดเข้าไปยุ่มย่ามในอ่าวเปอร์เซีย ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน เมื่อเจอกับการท้าทายแบบ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ของฝ่ายอิหร่านครั้งแล้ว ครั้งเล่า...

อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจ เป็นข้อคิดสะกิดใจต่อบรรดาประเทศต่างๆ ทั้งหลายได้เป็นอย่างดี คือด้วยแนวคิดแห่งการ “พึ่งตนเอง” เป็นจุดเริ่มต้นนั่นเอง ที่ทำให้กองทัพอิหร่าน หรือกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม จึงสามารถ “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” มาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ ไม่เพียงจากกองกำลังที่หนักไปทางอาสาสมัคร หรือ “Basij Militia” กลายมาเป็น “IRGC” หรือ “The Islamic Revolutionary Guard Corps” ที่แข็งแกร่งในแทบทุกด้าน ไม่ว่าบนบก ในทะเลหรือในอวกาศ แต่ยังสามารถประดิษฐ์คิดค้น พัฒนาอาวุธใหม่ๆ จนมีศักยภาพทางทหารในระดับต้นๆ ของโลก หรือระดับที่มหาอำนาจทางทหารอย่างคุณน้ารัสเซีย ยังต้องอาศัยบริการ “Kamikaze Drone” ของอิหร่านในการปิดฉาก ปิดกล่อง กองทัพตัวแทนอเมริกาและพันธมิตรยุโรป อย่างกองทัพยูเครน ชนิด “เธออยู่ไหน...เมื่อไฟดับ” กันไปทั้งบ้าน ทั้งเมือง...

ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าข่าวคราวเรื่องเครื่องบินรัสเซียขนเงิน 140 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งยุทโธปกรณ์ตะวันตกที่ยึดได้จากสมรภูมิยูเครนไปเป็นของกำนัลให้กับอิหร่านจะเป็นจริง-เป็นจัง หรือไม่? ประการใด? หรือการที่ขีปนาวุธซุปเปอร์โซนิครุ่นใหม่ล่าสุดของอิหร่านจะเป็นอาวุธที่ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดๆ สามารถรับมือได้เลย ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ตามคำพูด คำจา ของผู้บัญชาการกองพันอวกาศ IRGC ของอิหร่าน จะเป็นแค่การคุยโตโอ้อวดแบบสมรักษ์ คำสิงห์-ไม่คำสิงห์ หรือไม่? อย่างไร? แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ก็คือ ด้วยแนวคิดแห่งการ “พึ่งตนเอง” หรือความพยายามดิ้นรนหาทางยืนหยัดอยู่บนแข้งขาตัวเองให้จงได้ พยายามประยุกต์ดัดแปลงสิ่งต่างๆ ให้สอดคล้อง เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมและตัวตนของตน จึงนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง ชนิดที่ไม่ว่าใครต่อใครมิอาจ “ดูเบา” หรือมิอาจ “ประมาท” ได้เป็นอันขาด!!!

อันนี้นี่เอง...ที่อาจถือเป็นบทเรียน บทศึกษา ที่น่าจะมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่แค่เฉพาะการสร้างความแข็งแกร่งในทางทหารเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคมก็ตาม ถ้าหากเริ่มต้นด้วยแนวคิดแห่งการ “พึ่งตนเอง” เอาไว้แต่แรก ถึงแม้ไม่อาจไล่กวด ไล่ทัน ไม่สามารถขี้ตามช้างได้อย่างคล่องตัว คล่องตูด ก็เถอะ!!! แต่โอกาสที่จะนำมาซึ่งความแข็งแกร่ง การอยู่รอดปลอดภัย ความเป็นอิสระและความมีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง อันเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของแต่ละชาติ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ไม่ยากส์ส์ส์อยู่แล้วแน่ๆ...


กำลังโหลดความคิดเห็น