เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงไม่น่าจะไปเสียเวลากับเรื่องการแย่งยื้อ การยึดเมืองแต่ละเมือง หรือการยึดพื้นที่ดินแดนกลับคืนของกองทัพยูเครนจากกองทัพรัสเซีย ที่เพิ่งคืบหน้าไปแค่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรเท่านั้นเอง แถมยังอาจเป็นแค่ “เมืองร้าง” อย่างที่อาเฮีย “สนธิ ลิ้มฯ”ท่านว่าไว้เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน ขณะที่การ “ผนวกดินแดน”ของรัสเซียต่ออาณาบริเวณ 4 เขต 4 พื้นที่ นับแสนๆ ตารางกิโลเมตร ได้ผ่านขั้นตอน ที่ถูกต้องตาม “กระบวนการประชามติ” และตาม “กฎหมายรัสเซีย”ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนหมีขาว อย่างมิอาจหวนคืนกลับมาได้อีกต่อไป...
แม้แต่เรื่องการคิดจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ไม่ว่า “อย่างแก่-อย่างอ่อน”ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก ที่ใครต่อใครออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าตั้งแต่ผู้เฒ่า “โจ ซึมเซา”ผู้นำสหรัฐฯ ที่ออกมายอมรับถึงความหวีดหวิว ฉิวเฉียด ของ “สงครามอารมาเกดโดน” (Armageddon) หรือสงครามครั้งสุดท้ายก่อนวันสิ้นโลก ยิ่งกว่าช่วง “วิกฤตคิวบา”เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ไปจนถึง “ตัวตลก” แห่งยูเครน อย่างประธานาธิบดี “โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้” ที่พยายามยุแยงตะแคงรั่ว ให้ฝ่ายตะวันตก “ชิงโจมตีก่อน” หรือก่อนที่รัสเซียจะมีโอกาสใช้อาวุธนิวเคลียร์ อันแทบไม่ต่างไปจากการยุให้จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ...
โดยเฉพาะเมื่อเกิดการออกข่าว ปล่อยข่าว ที่น่าขนหัวลุก น่าขนพอง สยองขวัญ ไม่ว่าโดยฝ่ายใดก็ตาม ประเภทข่าวเรื่องขบวนรถไฟคอนวอยแห่งกรมที่ 12 หรือขบวนรถที่ใช้ลำเลียงขีปนาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียได้แล่นเข้าสู่แนวหน้าของสมรภูมิยูเครนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ไปจนข่าวเรือดำน้ำนิวเคลียร์ “Belgorod”ของรัสเซียที่หายไปจากท่าเรืออาร์กติก โดยจะหมายถึงการหายไปเพราะกำลังคิดขนอาวุธร้ายๆ (Doomsday Weapon) อย่างขีปนาวุธ “Poseidon” หรือขีปนาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ที่มีอำนาจทำลายล้างสูงยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ของอเมริกาเมื่อครั้งถล่มเมืองฮิโรชิมาของคุณพี่ญี่ปุ่น ยุ่นปี่ถึง 150 เท่า เอาไปทดสอบ ทดลอง หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังยากส์ส์ส์ที่จะสรุปได้ ฯลฯ...
แต่โดยที่บรรดาข่าวคราวเหล่านี้...เอาเข้าจริงๆ แล้ว ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งสามารถ“คาดเดา”ไปได้ต่างๆ นานา จริงมั่ง-ไม่จริงมั่ง ถูกมั่ง-ไม่ถูกมั่ง ได้เรื่องมั่ง-ไม่ได้เรื่องมั่ง ตามแบบฉบับที่ใครต่อใครเคยเอ่ยอ้างเป็น “วาทะ” เอาไว้นานมาแล้วนั่นแหละว่า “ในยามสงคราม...ความจริงจะถูกประหัตประหารก่อนอื่น” (In time of war, the first casualty is truth) อะไรประมาณนั้น แต่ที่แน่ๆ ยิ่งกว่าแช่แป้ง หรือที่จริงกว่าและน่าสนใจยิ่งกว่า ก็คงหนีไม่พ้นไปจากเรื่อง “ราคาน้ำมัน” ที่กลับมาพุ่งทะลุฟ้า ทะลุแก๊สขึ้นไปถึงเกือบ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือขึ้นไปอีก 1.7 เปอร์เซ็นต์ ราวๆ 1.57 ดอลลาร์ สำหรับน้ำมันเบรนท์ทะเลเหนือ ปิดราคาอยู่ที่ 93.37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะน้ำมันเวสต์เท็กซัสเพิ่มขึ้น 1.4 เปอร์เซ็นต์ หรือ 2.24 ดอลลาร์ ปิดราคาอยู่ที่ 87.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...
อันนี้นี่แหละ...ที่น่าสนใจ น่าคิดสะกิดใจ ยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ด้วยเหตุเพราะการพุ่งขึ้นในลักษณะที่ว่า ก็เนื่องมาจากการตัดสินใจภายหลังการประชุมของกลุ่มประเทศ “โอเปคพลัส” (OPEC+) หรือกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันส่งออก (The Organization of the Petroleum Exporting Countries) อันมีมหาเศรษฐีน้ำมันอย่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นหัวหอก รวมทั้งประเทศพันธมิตรอย่างรัสเซีย ที่ล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าควร “ลดกำลังการผลิตน้ำมัน”ลงไปไม่น้อยกว่าวันละ 2 ล้านบาร์เรล เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันไม่ให้ตกต่ำลงไปกว่านี้ แม้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา จะเพียรพยายามเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว วิงวอนและร้องขอให้ซาอุดีอาระเบียหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมัน 3 อันดับแรกของโลก หรือ “Top Three” อันประกอบไปด้วยอเมริกา-ซาอุฯ และรัสเซีย ที่มีกำลังการผลิตรวมกันไม่น้อยกว่าวันละ 30 ล้านบาร์เรล หันมาเอาด้วยกับอเมริกา หรือหันมาเพิ่มกำลังการผลิตให้มากๆ เข้าไว้ เพื่อช่วยฉุดดึงราคาน้ำมันไม่ให้สูงโด่เด่เกินไปกว่านี้ แต่ไปๆ-มาๆ...อีนี่แขกซาอุฯ กลับดันหันไปเห็นด้วยกับศัตรูคู่ปรปักษ์ของอเมริกา หรือหันไปเห็นด้วยกับคุณน้ารัสเซียที่กำลังถูกอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก “แซงชั่น” อย่างเอาเป็น-เอาตายไปซะนี่!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่-เรื่องโตเอามากๆ สำหรับบรรดา“นักการเมือง”อเมริกัน ที่ต่างดาหน้าออกมาด่า ออกมาประณามแขกซาอุฯ ชนิดสนั่นหวั่นไหว สะเทือนเลื่อนลั่น ไม่ว่าตั้งแต่ผู้นำประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ไปจน ส.ส.-ส.ว.อย่างเช่น “นายTom Malinowski” ที่สรุปว่า “ซาอุฯ ไม่ใช่พันธมิตรของเราอีกต่อไปแล้ว” หรือ “นายBernie Sanders”ที่ออกมาชี้แนะให้รัฐบาลสหรัฐฯ หาทางตอบโต้ เล่นงาน ให้ตัดความช่วยเหลือทางทหารต่อซาอุฯ เพราะถือเป็น “การตบหน้าทางการทูตครั้งใหญ่” ชนิดหน้าแหก หน้าชา จนต้องเรียกร้องสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกเลิกสนับสนุนด้านอาวุธและการป้องกันต่อราชอาณาจักรแห่งนี้อีกต่อไป ให้ถอนทหาร ถอนจรวด ออกไปให้พ้นๆ ไปจนอดีตทูตอเมริกาประจำรัสเซีย “นายMichael McFaul” ที่ให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า “มันเป็นช่วงเวลาแห่งความจริงทางนโยบายของเราต่อซาอุฯ ที่คงต้องยอมรับหรือควรเลิกหลอกตัวเองได้แล้วว่า สัมพันธภาพพิเศษระหว่างเรากับประเทศนี้ ไม่ได้ทำให้เพื่อนซาอุฯ สนใจต่อคุณค่า ความมั่นคง หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเราอีกต่อไป ดังนั้น...จงเลิกคิดทำธุรกรรมใดๆ กับประเทศนี้ หรือเลิกคิดเดินทางไปเยือนซาอุฯ ของประธานาธิบดีอเมริกันได้แล้ว!!!”ฯลฯ ฯลฯ...
พูดง่ายๆ ว่า...ไม่เพียงแต่ทำให้ความเพียรพยายามที่จะกระชากราคาน้ำมันซึ่งสูงโด่เด่จนถึงกับเกิดการปล้นชิง วิ่งราวน้ำมัน ในอเมริกา เกิดความขนหัวลุก ขนคอตั้ง ระหว่างช่วงหน้าหนาวกำลังมาถึงในหมู่ประเทศพันธมิตรยุโรป พอลดๆ ลงมาได้มั่ง ไม่ว่าโดยการงัดเอา “น้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์” ออกมาเทขายในตลาดวันละนับล้านๆ บาร์เรล ไปจนความพยายามวิงวอน ร้องขอ บากหน้าเดินทางไปเยือนซาอุฯ ของประธานาธิบดีอเมริกัน ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันในอเมริกาลดลงมาประมาณ 1 ดอลลาร์เมื่อเทียบกับต้นปีที่ผ่านมา หรือพอช่วยให้ “คะแนนนิยม” พรรครัฐบาลในช่วง “เลือกตั้งกลางเทอม”ที่กำลังมาถึงในอีกไม่ถึง 5 สัปดาห์นี้นับจากนี้ ไม่ถึงกับต้องหัวทิ่ม หัวตำ หรือต้องกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยทั้งสภาสูง สภาล่างเอาง่ายๆ แต่เมื่อดันต้องมาเจอกับการตัดสินใจลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศ “OPEC+” ลงไปถึงวันละ 2 ล้านบาร์เรลเป็นอย่างน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างเลยมีอันต้อง “แห้วกระป๋อง”อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
แต่ที่หนักหนา-สาหัสไปกว่านั้น ก็น่าจะเป็นไปดังคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ “Jerusalem Post” “นายSeth J. Frantzman”ระบุเอาไว้นั่นแหละว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว อาจถือเป็น “บทพิสูจน์”อันน่าวิตกกังวลต่อบทบาทของมหาอำนาจสูงสุดอย่างสหรัฐฯ ในทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง ชนิดอาจถึงขั้นต้องถอนตัวจากภูมิภาคนี้ภายในทศวรรษนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!! และนั่นย่อมก่อให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอลที่เพิ่งประสบผลสำเร็จพอประมาณ ในการกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศอ่าว (Gulf States) หรือกลุ่มประเทศ “GCC”(Gulf Cooperation Council) ไม่ว่าจะเป็นบาห์เรน คูเวต โอมาน กาตาร์ ยูเออี ซาอุดีอาระเบีย ที่รวมอยู่ใน “OPEC+” ไปด้วยกันทั้งสิ้น จนอาจส่งผลให้บทบาทของประเทศรัสเซีย ตุรกี รวมทั้งศัตรูคู่กัดของอิสราเอลอย่างอิหร่าน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นๆ ในภูมิภาคแห่งนี้ หรือทำให้อเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ต้องประสบความเสียเปรียบ หรืออาจต้องพ่ายแพ้ใน “แนวรบในตะวันออกกลาง” เอาเลยก็เป็นได้!!!
อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต แถมเป็นเรื่องแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง กว่าเรื่องยึดเมือง ยึดพื้นที่แค่ไม่กี่ตารางกิโลเมตรในดินแดนยูเครน หรือใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะถ้าหากความเสียเปรียบ หรือความพ่ายแพ้ของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ได้ปรากฏขึ้นมาในทั้ง 2 แนวรบอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาพูดถึงแนวรบอีกแนวรบ หรือ “แนวรบในทะเลจีนใต้”ที่โอกาสต้องเสร็จคุณพี่จีน ซึ่งนับวันยิ่งมีพละกำลังทางการเมือง-เศรษฐกิจ แม้แต่ “การทหาร”ไม่น้อยไปกว่าคุณพ่ออเมริกามากมายสักเท่าไหร่ หรืออาจมีอันต้องเรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน เป็นลำดับต่อไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...