ถ้าว่ากันโดยสีสันบรรยากาศ...ระหว่างการประชุมบรรดาประเทศเศรษฐกิจใหม่ อย่างบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีน และแอฟริกาใต้ หรือที่เรียกว่า “BRICS” ครั้งที่ 14 ทางออนไลน์โดยมีคุณพี่จีนเป็นเจ้าภาพ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ สัปดาห์ที่แล้ว หรือวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา กับการประชุม “NATO Summit” ที่มีคุณพ่ออเมริกาและชาติพันธมิตรยุโรปกว่า 20 ชาติ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายนสัปดาห์นี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า มันออกจะก่อให้เกิดความรู้สึกประมาณ “หน้ามือ” กับ “หลังตีน” อะไรทำนองนั้น...
คือในขณะที่บรรดาประเทศ “BRICS” ทั้งหลาย...เขาพยายามหันไปให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ ในเรื่องปาก-เรื่องท้อง หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” ในระดับโลกนั่นแหละเป็นหลัก ไม่ว่าเรื่องการหาทางออกในการเผชิญหน้ากับภาวะขาดแคลนอาหาร การหาทางประดิษฐ์คิดค้นระบบการโอนเงินการชำระบัญชีระหว่างประเทศแบบใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคขัดขวาง ต่อความขาดแคลนสินค้าจำเป็นต่างๆ ไม่ว่าพลังงาน ปุ๋ย วัตถุดิบต่างๆ ไปจนถึงข้าว-ปลา-อาหาร ความพยายามปรับเปลี่ยนระบบทุนสำรองระหว่างประเทศ ด้วยการซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ กันด้วยสกุลเงินของแต่ละประเทศ เพื่อไม่ให้ต้องถูกกด ถูกบีบ โดย “เผด็จการดอลลาร์” อีกต่อไป ฯลฯ แต่สำหรับการประชุม “NATO Summit” ตั้งแต่ยังไม่ได้ประเดิมเริ่มต้นก็มีข่าวคราว หรือ “รายงานข่าว” วงในออกมาเป็นที่ชัดเจน ว่ามุ่งที่จะไปสู่การไล่ล่าล้างผลาญ ระหว่างมวลมนุษย์ด้วยกันเองซะเป็นหลักใหญ่ โดยอาศัย “ความกลัวรัสเซีย” และ “กลัวจีน” ของผู้ที่ไม่ต้องการให้ใครมาทาบรัศมีความเป็น “ประมุขโลก” ของตัวเอง อย่างคุณพ่ออเมริกามาใช้เป็นตัวแพร่เชื้อไวรัสโรค “Russophobia” และ “Sinophobia” ให้เกิดอาการงอมๆ แงมๆ ไปทั่วทั้งยุโรป หรือทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...
หรืออย่างที่หนังสือพิมพ์ “El Pais” ของสเปนเขาได้อ้างข่าวคราวจาก “แหล่งข่าว” วงใน สรุปเอาไว้ล่วงหน้านั่นแหละว่า การประชุม “NATO Summit” คราวนี้ อาจนำไปสู่การหาทางปรับสภาพยุโรปทั้งยุโรปให้กลายเป็น “ป้อมค่าย” ในการเผชิญหน้ากับหมีขาวรัสเซียแบบชนิดอาจต้องเจ๊งกันไปข้าง หรือฉิบหายกันไปข้าง ด้วยการคิดเพิ่มจำนวนทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปในบรรดาประเทศที่อยู่ใกล้ชิด ติดพันกับรัสเซีย ไม่ว่าจะในโปแลนด์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย เอสโตเนีย โรมาเนีย สโลวาเกีย ฯลฯ จากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 70,000-100,000 ขึ้นไปอีกประมาณเท่าตัวเป็นอย่างน้อย ทั้งๆ ที่ความฉิบหายวายวอด ที่ปรากฏอยู่ในประเทศที่ถูกใช้เป็น “เหยื่อ” หรือเป็น “สมรภูมิ” เพื่อหาทางบั่นทอนทำลายศักยภาพด้านต่างๆ ของประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ก็น่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ความเศร้าสลด โศกนาฏกรรมต่อบรรดาประชาชนตาดำๆ ผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ อย่างชนิดน่าเกลียด น่าทุเรศ เวทนาอย่างไม่แล้วเสร็จ อยู่ในทุกวันนี้...
และก็ไม่ใช่แค่เฉพาะการคิดไล่ล่าล้างผลาญ ประเทศรัสเซียที่ดันไป “บุกยูเครน” ด้วยเงื่อนไข-ข้ออ้างใดๆ ก็แล้วแต่ การคิดจะขยายขอบเขต หรือบทบาทอำนาจอิทธิพลของ “NATO” ที่อยู่ไกลไปถึงมหาสมุทรแอตแลนติกโน่นเลย เข้ามายังมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่อีกคนละซีกโลก เพื่อหาทางเล่นงาน จัดการกับประเทศมหาคู่แข่งอีกรายอย่างคุณพี่จีนเป็นการเฉพาะ ก็ถือเป็นท่าทีที่ได้รับการแสดงออกไว้แล้วโดยชัดเจน ไม่ว่าจากตัวเลขาธิการ “NATO” หรือผู้ที่มีบทบาทในการแพร่เชื้อไวรัสโรค “Russophobia” และ “Sinophobia” อย่างคุณพ่ออเมริกา หรือ “สุนัขพูเดิลอังกฤษ” อย่างชนิดกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้สีสัน บรรยากาศการประชุมระดับโลกทั้งสอง ออกอาการไม่ต่างอะไรไปจาก “หน้ามือ” กับ “หลังตีน” อย่างที่ว่าไว้นั่นแล...
คือถ้าว่าไปแล้ว หรือว่าไปตามเนื้อผ้า...สิ่งที่กำลังเป็น “ปัญหา” ระดับโลกในช่วงระหว่างนี้ มันน่าจะเป็นเรื่องปาก-เรื่องท้อง หรือเรื่อง “เศรษฐกิจ” นั่นแหละมากกว่า เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่กำลังเดือดร้อนกันไปทั่วทั้งโลก อันเนื่องมาจากภาวะเงินเฟ้อ ภาวะขาดแคลนข้าว-ปลา-อาหารและสินค้าจำเป็นต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจถดถอย” กันในระดับโลกเอาง่ายๆ ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในประเทศยุโรปทั้งมวล หรือในอเมริกาเอง ที่แม้ว่าบรรดานักการเมือง ผู้นำประเทศจะกระเหี้ยนกระหือรือกับการรุมเหยียบ รุมกระทืบ ประเทศหนึ่ง ประเทศใดมาก-น้อยขนาดไหน แต่โดยความจริง โดยข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธ ก็คือบรรดาผู้คน พลเมือง ภายในประเทศตัวเอง ต่างกำลังทุกข์ยากลำบาก ต่างกำลังเดือดร้อนกันโดยถ้วนหน้า แต่ในเมื่อ “ความปรารถนาและความต้องการ” ของปวงชน มันกลับมีน้ำหนักน้อยไปกว่า “ความกระเหี้ยนกระหือรือ” ของบรรดา “นักการเมือง” ทั้งๆ ที่ต่างปกครองกันด้วย “ระบบอบประชาธิปไตย” ล้วนๆ แท้ๆ การคิดจะไล่ล่าล้างผลาญประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง มันเลยกลายเป็นความสำคัญซะยิ่งกว่า การทุเลาเบาบาง ความทุกข์ ความเดือดร้อนให้กับผู้คนภายในประเทศตัวเอง อย่างชนิดไม่น่าเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อ สำหรับมาตรฐานความเป็นประชาธิปไตยแบบตะวันตกในยุคนี้ สมัยนี้...
เพราะอย่างที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ในระดับโลกไม่ว่าสำนักไหนต่อสำนักไหน ต่างออกมาฟันธงและฟันเฟิร์ม ในลักษณะไม่ต่างไปจากกันนั่นแหละว่า โอกาสที่โลกทั้งโลกต้องเดือดร้อน ต้องทุกข์ยากลำบากในเรื่องปาก-เรื่องท้อง เรื่องเศรษฐกิจ นับจากนี้ไปจนปีหน้า ปีโน้น มันกำลังมี “ความเป็นไปได้” สูงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทวาณิชธนกิจระดับโลกอย่าง “Goldman Sachs” ที่เคยสรุปเอาไว้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” ในระดับโลก มีอยู่ประมาณ 15-30 เปอร์เซ็นต์เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่มาถึงทุกวันนี้ต้องตัดสินใจเพิ่มระดับเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ขึ้นไปถึง 48 เปอร์เซ็นต์อย่างมิอาจปฏิเสธ หรือผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อย่าง “นางคริสตาลินา จอร์จีวา” (Kristalina Georgieva) ที่พร้อมจะยืนยัน นั่งยัน ตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ (27 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ว่าไม่ว่าเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก กำลัง “แทบไม่เหลือหนทาง” ที่จะเลี่ยงพ้นไปจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยภายในปีนี้ ปีหน้า หรือผู้อำนวยการ “Deutsche Bank” ของเยอรมนี “นายChristian Sewing” ที่ออกมาฟันธง-ฟันเฟิร์มเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่แล้ว (22 มิ.ย.) ว่าโอกาสที่โลกทั้งโลกจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยนับจากนี้ สูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น ฯลฯ ฯลฯ....
ภายใต้แนวโน้มความเป็นไปเช่นนี้...มันเลยน่าจะทำให้ปัญหาเรื่องปาก-เรื่องท้อง เรื่องเศรษฐกิจ มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ หรือถือเป็น “วาระของโลก” เอาเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เรื่องของการเดินหมาก-เดินเกม การกดดัน ไล่ล่าล้างผลาญประเทศใด ประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ ที่กลับยิ่งทำให้ความทุกข์ ความเดือดร้อนของผู้คน ไม่ว่าในประเทศตัวเองหรือในระดับโลก ยิ่งมีแต่หนักหนา-สาหัสยิ่งเข้าไปใหญ่ ถึงขั้นผู้คนในยุโรปอาจหนาวตาย แข็งตาย ไม่ต่างไปจากทหารในกองทัพสวีเดน กองทัพฝรั่งเศส เยอรมนี ที่เคยบุกรัสเซียเมื่อครั้งอดีต ผู้คนในแอฟริกาเหนือ หรือตะวันออกกลาง ที่อาจอดตาย หิวตายกันไปเป็นประเทศๆ และมักต้องตามมาด้วยการก่อจลาจลไปจนถึง “ก่อการร้าย” จนยิ่งทำให้ปัญหามีแต่จะเพิ่มสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีก หรือแม้แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาอีกไม่รู้กี่ต่อกี่ประเทศ ที่หนีไม่พ้นต้องพลอย “ซวยไปด้วย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คือแค่เจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “Covid-19” ยืดเยื้อ คาราคาซังมาถึง 2-3 ปีก็...แทบตายแล้ว นี่ยังต้องมาเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อ “Russophobia” และ “Sinophobia” เข้าไปอีกดอก โอกาสที่จะฉิบหายวายวอดกันไปเป็นประเทศๆ และกลายเป็น “ปัญหา” ของโลกทั้งโลกกันอีกยืดเยื้อยาวนาน อันเนื่องมาจากความพยายามที่จะดำรงรักษาบทบาทความเป็น “ประมุขโลก” (Hegemony) ของผู้นำโลกยุคเก่าเอาไว้ให้จงได้!!! ทั้งๆ ที่โลกมันได้เปลี่ยนไปแล้ว และเปลี่ยนไปอย่างไม่มีวันหวนกลับไปแบบเดิมได้อีก มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์” อันมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่ผู้คนชาวกระทิงดุ จำนวนเหยียบหมื่นคน เขาเลยต้องแห่กันมาลงถนน ณ กรุงมาดริด เพื่อเรียกร้องให้ “เอาความสงบคืนมา-เอาสงครามกลับไป” ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นประชุม “NATO Summit” ซะด้วยซ้ำ!!!