ด้วยเหตุเพราะใกล้จะไปแหล่-มิไปแหล่...เปิดฉากสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตชวนไปว่ากันในเรื่องที่อาจไม่ถึงกับน่าซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ มากมายสักเท่าไหร่ หรือไม่ถึงกับ “มันส์ส์ส์พ่ะย่ะค่ะ”เหมือนเรื่องการงัดเอาบ้องข้าวหลามยักษ์มาสาดใส่กันและกัน อย่างที่ยังคงปรากฏอยู่ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” หรือในสมรภูมิยูเครนทุกวันนี้ แต่ก็คงต้องถือเป็นเรื่องสำมะคัญมิใช่น้อย...นั่นก็คือเรื่อง “ความเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตย”อะไรทำนองนั้น ที่ยังไงๆ ย่อมเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับแนวโน้ม “ชัยชนะ”หรือ “ความพ่ายแพ้”ของคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย คือระหว่างหมีขาวรัสเซียกับบรรดาชาติตะวันตกที่มีคุณพ่ออเมริกาเป็นผู้นำอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
เพราะอย่างที่รู้ๆ กันไปแล้วนั่นแหละว่า...การสู้กันระหว่างโลกตะวันตกกับหมีขาวรัสเซียนี้ ต้องเรียกว่าเล่นกันชนิดทุกรูป ทุกแบบ ทุกๆ ลูก ชนิดอาจถือเป็น “Total, Hybrid War” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียท่านว่าไว้ หรือเผลอๆ อาจหนักยิ่งไปกว่านั้น เพราะอะไรต่อมิอะไรที่ติดฉลาก ติดยี่ห้อรัสเซีย มีอันที่ต้องถูกโลกตะวันตกต่อต้าน ปฏิเสธไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งเครื่องสาย เครื่องดีด ประเภทกีตาร์รัสเซีย อย่าง “บาลาไลก้า”ยังถูกห้ามงัดมาใช้ มาเล่น มาแสดง วรรณกรรม กวี ไปจนถึงนักเทนน้ง เทนนิส ฯลฯ โน่นเลย ต่างถูกแซงชั่น บอยคอต คว่ำบาตรชนิดแทบไม่เหลือบาตรจะคว่ำ ด้วยเหตุนี้ระบอบการปกครองรัสเซีย ที่แม้จะมี “การเลือกตั้ง” ไม่ต่างอะไรไปจาก “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” ก็เถอะ แต่อาจด้วยเหตุที่มันยังอาจมีกลิ่นอายแบบ “มาเฟีย” ติดปลายนวมเอาไว้มั่งเล็ก-น้อย ตามสไตล์แบบรัสเซียๆ ที่เคยถึงขั้นต้องอาศัยอำนาจ ตบะ บารมีระดับ “Ivan the Terrible” หรือต้องอาศัยความโหด แสนโหด ของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 แห่งรัสเซียเอาเลยโน่นแหละ มันถึงจะ “เอาอยู่”โดย “ประชาธิปไตยที่มีลักษณะพิเศษ” อยู่บ้างเช่นนี้ เลยกลายเป็นสิ่งที่บรรดาชาติตะวันตกและโดยเฉพาะคุณพ่ออเมริกา พยายามงัดมาโจมตี เล่นงาน หรือถือเป็น “เงื่อนไข”ที่สำคัญเอามากๆ ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะ “มหาอำนาจคู่แข่ง”รายนี้ แม้ในยุคปัจจุบันก็ตาม...
อย่างเช่น ครั้งที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”ท่านไปประชุมว่าด้วยปัญหาความมั่นคงที่เยอรมนีเมื่อไม่นานมานี่เอง ท่านก็พยายามหยิบยกเอาสิ่งเหล่านี้ มาใช้เป็น “เครื่องมือ” เป็น “แรงกระตุ้น”ให้บรรดาประเทศพันธมิตรตะวันตกทั้งหลาย หันมาร่วมมือ ร่วมไม้ ร่วมต่อต้านมหาอำนาจคู่แข่ง ไม่ว่าทั้งรัสเซียและจีน อย่างตรงไป-ตรงมา หรือถึงขั้นเคยจัดประชุมสุดยอดประเทศประชาธิปไตย หรือ “The Summit Democracy”เพื่อหาพวก หาแนวร่วม ในการเอาชนะประเทศทั้งสองซึ่งต่างก็ไม่ได้คิดจะเป็น “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” เอาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...การอยู่-การไป การแพ้-การชนะ ของคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย มันจึงย่อมต้องมีความเกี่ยวพันกับสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย”ไม่ว่าทางหนึ่ง-ทางใด อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ยิ่งโดยเฉพาะ...เมื่อฝ่ายคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกทั้งหลายนั่นแหละ เริ่มออกอาการ “ใกล้แพ้” เต็มที ไม่ว่าจะมองจากการเมือง การเศรษฐกิจ ไปจนถึงการทหาร อันนี้นี่แหละ...มันเลยก่อให้เกิด “คำถาม”ตัวใหญ่ๆ ต่อ “ความเป็นประชาธิปไตย” ตามแนวคิดแบบตะวันตก ที่เคยเป็นอะไรซึ่งออกจะสูงส่ง วิเศษวิโสเสียเหลือเกิน ชนิดต้องหาทางบังคับให้โลกทั้งโลกเป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานที่ว่าให้จงได้ หรือเป็นสิ่งที่แม้แต่บรรดา “นักประชาธิปไตย” ในบ้านเรา ต่างปรารถนา เรียกร้องต้องการเสียเหลือเกิน ว่าไปๆ-มาๆ อาจถึงขั้น “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง”ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี เอาเลยหรือไม่? อย่างไร?
คืออันที่จริง...สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” หรือจะเรียกว่า “ประชาธิปไตยภายใต้ทุนนิยมเสรี”ก็คงพอได้ มันค่อนข้างออกอาการ “สาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง”มานานแล้ว หรือค่อยๆ วิวัฒนาการตัวเองจากระบอบการปกครอง “ของประชาชน-โดยประชาชน-และเพื่อประชาชน” กลายไปเป็น “ของพ่อค้า-โดยพ่อค้า-และเพื่อพ่อค้า” ยิ่งเข้าไปทุกที จากยุคที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกัน “อับราฮัม ลินคอล์น” เตือนเอาไว้ก่อนตาย จนมาถึงทุกวันนี้...มันได้วิวัฒนาการกลายไปเป็น “ประชาธิปไตยของคน 1 เปอร์เซ็นต์” ดังที่พวกนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกันอย่าง “ขบวนการออคคิวพาย วอลล์สตรีท”ได้ให้คำนิยามมาโดยตลอด และภายใต้ความตกต่ำทำนองนี้ ยิ่งนานวัน...มันยิ่งรูดมหาราชลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อบรรดาพวกพ่อค้า หรือบรรดา “อภิมหาบรรษัทข้ามชาติ” ทั้งหลาย ได้แผ่อำนาจ อิทธิพล ครอบงำโลกทั้งโลกได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์”ที่ถูกขับเคลื่อนจากด้านบน ลิดรอนอำนาจของบรรดา “รัฐชาติ” ในแต่ละประเทศแต่ละราย ไม่ว่าโดยทางเศรษฐกิจ กฎหมาย ไปจนถึงวัฒนธรรม-ประเพณี หรือค่านิยมทางสังคมเอาเลยก็ว่าได้ จนบรรดานักคิดฝ่าย “เสรีนิยมใหม่” บางราย ถึงกับออกมาคุยโม้ คุยโต ว่าถึงเวลาที่ “รัฐบาล”แห่งรัฐชาติทั้งหลาย จะต้องยอมปรับสภาพหรือต้องยอมศิโรราบให้กับ “โลกยุคใหม่” หรือยุค “คลื่นลูกที่ 4” ที่โลกทั้งโลกจำต้องยอมอยู่ภายใต้การบริหาร-จัดการของ “อำนาจขั้วเดียว” หรือของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงสุด อย่างเช่น คุณพ่ออเมริกาเป็นต้น...
แต่ด้วยเหตุที่แต่ละชาติ แต่ละประเทศ...ต่างล้วนแล้วแต่เคยสร้างสม สะสม สิ่งที่เป็น “เอกลักษณ์” หรือ “อัตลักษณ์”ของตัวเองเอาไว้จนยากที่จะขจัดกวาดล้างให้หมดไปกันได้ง่ายๆ กระแส “ต่อต้านโลกาภิวัตน์” จึงทำให้การขับเคลื่อน ผลักดันให้โลกทั้งโลกต้องเป็น “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” มันจึงเต็มไปด้วยอุปสรรคชะงักงันจำนวนมิใช่น้อย และหนึ่งในนั้นก็คือ ความพยายามที่จะคงความเป็น “ลักษณะพิเศษ”หรือ “ลักษณะเฉพาะ”ทางประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม และประเพณีของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนทำให้เกิด “มหาอำนาจคู่แข่ง” ที่มี “กล้ามใหญ่ที่สุดในปฐพี”ไม่น้อยไปกว่าประเทศที่ก้าวหน้า ก้าวไกล ทางเทคโนโลยีอย่างคุณพ่ออเมริกา นั่นก็คือคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียนั่นเอง...
ดังนั้น...ในการปะทะระหว่างอเมริกาและโลกตะวันตกกับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียคราวนี้ สิ่งที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”ท่านได้พูดจาปราศรัยต่อบรรดาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ชาวรัสเซีย ณ เวทีประชุม “The St. Petersburg International Economic Forum” (SPIEF) เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจเอามากๆ โดยเฉพาะที่ท่านได้เน้นเอาไว้ว่า การตัดสินใจใดๆ ของแต่ละชาติ แต่ละประเทศนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือมันได้สะท้อนให้เห็นถึง สิ่งที่ท่านเรียกว่า “Sovereign Decisions”หรือสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นอิสระในอำนาจอธิปไตยของประเทศตัวเองมาก-น้อยขนาดไหน??? เพราะถ้าหากประเทศใดขาดเสียซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “Sovereign Decisions” ไปแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย-ไม่ประชาธิปไตยก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้ว...ก็มีค่าไม่ต่างอะไรไปจาก “Colony” หรือเป็นได้แค่ “อาณานิคม”ของประเทศอื่นแต่เพียงเท่านั้น...
และอันนี้นี่แหละ...ที่อาจนำมาซึ่ง “ความพ่ายแพ้” ของชาติตะวันตกรวมทั้งคุณพ่ออเมริกา ที่พยายามบีบบังคับให้โลกทั้งโลกต้องเป็น “ประชาธิปไตย”ตามมาตรฐานตัวเองมาโดยตลอด เพราะความพยายามร่วมแรง-ร่วมใจ ร่วมมือกัน “แซงชั่น” รัสเซีย แบบชนิดโหด-สุดโหดไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนก็แล้วแต่ สุดท้ายแล้ว...มันหนีไม่พ้นต้องอาศัยความเจ็บปวดรวดร้าวต้องอาศัย “รายจ่าย” ของผู้คนภายในประเทศตัวเอง เป็นเครื่องรองรับไปในแทบทุกเรื่อง ทุกกรณี ไม่ว่าต้องเจอกับปัญหาน้ำมันแพง แก๊สแพง ต้องเจอกับวิกฤตพลังงาน ไปจนวิกฤตข้าว-ปลา-อาหาร เงินเฟ้อ ฯลฯ อันเป็นสิ่งที่สวนทางกับความปรารถนาความต้องการของผู้คนภายในประเทศตัวเอง เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับ “อำนาจอธิปไตย” ของปวงชนไปด้วยกันทั้งสิ้น ชนิดเผลอๆ...อาจไม่ใช่แค่ต้อง “แพ้รัสเซีย” หรือ “แพ้จีน” ในลำดับต่อไปเท่านั้น แต่อาจต้องแพ้ต่อผู้คนภายในประเทศตัวเองที่อาจถึงจังหวะ “ลุกฮือ”ขึ้นมาเปลี่ยนแปลง “ความเป็นประชาธิปไตย” ในมาตรฐานเดิมๆ ให้กลายไปเป็นประชาธิปไตยที่สามารถตอบสนองความปรารถนา ความต้องการของปวงชน ตามแบบฉบับ “ของประชาชน-โดยประชาชน-เพื่อประชาชน” ได้อย่างแท้จริง หรือประชาธิปไตยที่ยังสะท้อนให้เห็นถึงการตัดสินใจภายใต้ “Sovereign Decisions”นั่นแล...