ดังที่ผู้อำนวยการสำนักคิด “Think-Tank” ชื่อดังของรัสเซีย อย่าง “Valdai Club” “นายTimofei Bordachev” เขาได้ออกมาแปลความ ตีความ คำพูด คำจาของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาผู้ได้ชื่อว่ามองลึก-มองไกล ไม่ว่าจะแก่แสนแก่กันในระดับไหน อย่างคุณปู่ “เฮนรี คิสซินเจอร์” ณ เวทีประชุม “World Economic Forum” ที่กรุงดาวอสเมื่อเร็วๆ นี้นั่นแหละว่า แทบไม่ต่างอะไรไปจาก “คำเตือน” ไปยังโลกตะวันตกทั้งหลาย ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วในการคิดจะสู้รบปรบมือกับหมีขาวรัสเซีย หรือควรต้องหันมาหาหนทางขึ้นโต๊ะเจรจาภายในอีกไม่เกิน 2 เดือนนับจากนี้ ไม่งั้น...โอกาสฉิบหาย...กับ...ฉิบหายกันในระยะยาว ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
ดังนั้น...ท่ามกลางข่าวการสู้รบ ปะ-ฉะ-ดะ กันในมิติใดๆ ก็แล้วแต่ มันก็เลยปรากฏข่าวคราวเมื่อช่วงวันศุกร์ (3 มิ.ย.) ที่ผ่านมา ผ่านทางสำนักข่าว “CNN” อ้างถึงแหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่ประสงค์จะออกข่าว สรุปประมาณว่า...ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และบรรดาประเทศในยุโรป ได้เริ่มสุมหัว รวมตัว พูดจาหารือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบและกิจการ ถึงความเป็นไปได้ในการ “หยุดยิง” และ “บรรลุสันติภาพ” ในสมรภูมิยูเครนนับจากนี้เป็นต้นไป แม้ว่าการพบปะดังกล่าวจะไม่ได้มี “ตัวแทน” ของรัฐบาลยูเครนเข้าร่วมเอาเลยแม้แต่น้อย แต่การหยิบเอา “ข้อเสนอ 4 ข้อ” ที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี “นายLuigi Di Maio” เคยเสนอเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่าในเรื่องการหยุดยิงและสร้างพื้นที่ปลอดทหารในแนวรบด้านตะวันออกของยูเครน ความเป็นไปได้ที่ยูเครนจะกลายเป็น “รัฐเป็นกลาง” การแสวงหาข้อตกลงกับมอสโกต่อสถานะดินแดนไครเมีย Donetsk และ Lugansk People’s Republics ไปจนการสร้างความหลากหลายทางทหารและการควบคุมการแข่งขันทางอาวุธทั่วทั้งยุโรป ได้ทำให้ “ข่าวล่า-มาเรือ” ในเรื่องนี้ ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย...
เพราะแม้ว่ากองทัพหรือรัฐบาลยูเครนที่พร้อมทอดตัวเป็น “เครื่องมือ” เป็น “ตัวแทนสงคราม” ให้กับอเมริกาและตะวันตกคิดจะฮึดสู้ คิดย้อนกลับไปยึดโน่น ยึดนี่ ยึดเมืองโน้น เมืองนี้ กันอีกหรือไม่? เพียงใด? ก็ตาม แต่ก็ด้วยการอาศัย “ข้อจำกัด” ในการสนับสนุนสิ่งต่างๆ ให้กับปฏิบัติการใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมกลายเป็นเงื่อนไข ข้ออ้าง พอที่จะบีบบังคับให้รัฐบาลของอดีตดาวตลก ต้องยอม “ขึ้นโต๊ะเจรจา” ยอมหาข้อยุติ จุดลงตัว กับหมีขาวรัสเซียดังที่คุณปู่ “เฮนรี คิสซินเจอร์” แนะนำเอาไว้ได้ไม่ยาก ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะฉิบหายวายวอดกันในระยะยาว หรือต้องไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีกันไปเป็นแผงๆ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” จึงอาจอุบัติขึ้นมาอีกไม่นานนับจากนี้ หรืออีกภายในไม่เกิน 2 เดือนข้างหน้าดังที่ผู้เฒ่ารายนี้ชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
โดยการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ว่า...มันอาจไม่ได้มีผลต่อยุโรปทั้งยุโรป หรือต่อเฉพาะคุณพ่ออเมริกาแต่เพียงเท่านั้น แต่อาจมีผลต่อ “โลกทั้งโลก” เอาเลยก็ไม่แน่!!! หรืออย่างที่หัวหน้ากองบก.วารสาร “Russia in Global Affairs” และหนึ่งในผู้บริหารสโมสร “Valdai Club” อย่าง “นายFyodor Lukyanov” เขาเคยฟันธง-ฟันเฟิร์มเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าการบุกยูเครนของรัสเซียคราวนี้ แทบไม่ต่างไปจากการเริ่มต้น “ปักหมุดหมาย” แห่งการสิ้นสุดยุติของ “โลกยุคเก่า” (The End of an Era) ที่จะนำไปสู่การก่อรูป ก่อร่าง ของ “โลกยุคใหม่” หรือ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่มีความเสมอภาคและยุติธรรมเป็นพื้นฐาน หรือ “Fair World Order” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
เพราะภายใต้ “ความเสื่อม” หรืออาการ “ใกล้แพ้” ของโลกตะวันตกและคุณพ่ออเมริกาในแนวรบดังกล่าว...มันดูจะส่งผลให้โลกทั้งโลกเริ่มแสดงออกถึงลักษณะอาการที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที หรือดังที่สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” ถึงกับต้องหยิบเอาไปไล่เรียงเป็นข้อเขียน บทความ เมื่อช่วงวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมานี่เอง ถึงท่าทีของบรรดาประเทศในละตินอเมริกาต่อการประชุมสุดยอด “The Summit of Americas” ช่วงวันที่ 6-10 มิถุนาที่ประเทศอเมริการับอาสาเป็น “เจ้าภาพ” ครั้งแรก ด้วยการฟันธง-ฟันเฟิร์มไว้ถึงขั้นว่า “No Longer US’ backyard, Latin America sends united message” หรือได้เกิดการส่งสัญญาณอย่างเป็นเอกภาพว่าบรรดาประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย ไม่ได้เป็นแค่ “สวนหลังบ้าน” ของคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไปแล้ว!!!
เพราะไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้นำของประเทศใหญ่ ประเทศน้อย ในทวีปอเมริกาและแคริเบียน อย่างเช่นเม็กซิโก ฮอนดูรัส กัวเตมาลา บราซิล หรือกระทั่งโคลัมเบียที่เคยยืนหยัดเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกามาโดยตลอด ฯลฯ ไปจนอีกหลายประเทศในแคริเบียน ต่างแสดงอาการไม่คิดจะให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อประเทศเจ้าภาพอย่างอเมริกาไม่คิดจะให้ความสำคัญต่อประเทศภายในภูมิภาคเดียวกันอย่างเวเนซุเอลา นิการากัว หรือคิวบา เอาไว้ก่อนหน้านั้น ชนิดถึงขั้นโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายZhao Lijian” ถึงกับหลุดปากออกมาว่า... “หมดยุคลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine) ลงไปเรียบร้อยแล้ว...” หรือนักวิเคราะห์ด้านสังคมวิทยาและรัฐศาสตร์ชาวเยอรมันอย่าง “นายHeinz Dieterich” ที่สรุปเอาไว้ประมาณว่า... “อำนาจเหนือผู้อื่นแบบเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดของอเมริกา ได้พ้นไปจากความจริงแห่งยุคสมัยไปแล้ว...”
บรรดาความเปลี่ยนแปลงในลักษณะทำนองนี้...ยังพอเห็นได้จากท่าทีของบรรดาประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นราชอาณาจักรซาอุฯ และกลุ่มประเทศอ่าวฯ ที่พร้อมจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงคำขอร้องและวิงวอนของอเมริกา ในการเพิ่มพลังการผลิตน้ำมันและแก๊ส เพื่อช่วยทุเลาเบาบางภาวะขาดแคลนพลังงานและภาวะเงินเฟ้อ ที่กำลังทะลุหลังคา เขย่าเพดานประเทศอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกชนิดสั่นไหวพั่บๆๆ กันไปเป็นประเทศๆ จนตราบเท่าทุกวันนี้ ถึงขั้นต้องบากหน้าหันไปขอร้องประเทศ “ศัตรู-คู่กัด” อย่างเวเนซุเอลาให้ช่วยผลิตน้ำมันเพิ่ม ทั้งที่ตัวเองเคยรุมเหยียบรุมกระทืบประเทศนี้มาเป็นปีๆ ไปจนแม้แต่บรรดาประเทศในแอฟริกาก็เถอะ!!! การส่งเสียงโอดครวญ โอดโอยของผู้นำประเทศเซเนกัล ประธานาธิบดี “Macky Sall” ต่อที่ประชุมประเทศอียู ถึง “ความยากลำบาก” และ “ความเป็นไปไม่ได้” ของบรรดาชาติแอฟริกาต่อการร่วมแซงชั่นรัสเซีย หรือการไม่เปิดช่องทางชำระเงินในระบบ “SWIF” สำหรับการสั่งซื้อข้าว-ปลา-อาหาร ไปจนถึงปุ๋ยรัสเซีย ที่บางชาติในแอฟริกาอย่างเช่นเอธิโอเปียต้องพึ่งพาถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชาติต่างๆ ในแอฟริกาหนีไม่พ้นต้องหันไปสวมกอดหมีขาวดังเดิมและอาจแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปซะอีก ไม่ว่าจะเป็นซิมบับเวที่เพิ่งลงนามข้อตกลงทวิภาคีในด้านเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีกับรัสเซียไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง หรือแคเมอรูนที่หันไปเซ็นสัญญาข้อตกลงทางทหารกับรัสเซียเป็นชาติแรกนับตั้งแต่เกิดการบุกยูเครน เพื่อช่วยให้บรรดาประเทศในแอฟริกากลางทั้งหลาย พอมีโอกาสได้รับมือกับปัญหาโจรสลัด หรือปัญหาก่อการร้ายได้ถนัดถนี่ขึ้นมาอีกสักหน่อย...ฯลฯ ฯลฯ...
หรือโดยสรุปรวมความแล้ว...ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกโดยรวมนับจากนี้เป็นต้นไป ก็คือโลกที่กำลังเต็มไปด้วยความเสื่อมและอาการพังทลายของผู้ที่เคยมีบทบาท อำนาจ ในยุคเก่าๆ เดิมๆ อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกทั้งหลายนั่นเอง ที่เคยพยายามบีบบังคับ ไปจนถึงแทรกแซง ให้ใครต่อใครต้องเป็น “ประชาธิปไตยตามมาตรฐานตะวันตก” หรือต้องยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพล ของ “การค้าเสรี” ที่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อความถูกต้อง เป็นธรรม ความยุติธรรมมากมายสักเท่าไหร่นัก แต่บรรดาสิ่งเหล่านี้...มันจะนำไปสู่การก่อรูป ก่อร่าง การอุบัติขึ้นมาของโลกยุคใหม่ ที่พร้อมจะให้ความสำคัญต่อความเสมอภาค ต่อลักษณะเฉพาะทางสังคมของแต่ละประเทศที่ย่อมผิดแผกแตกต่างกันออกไป พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันบนความเท่าเทียม หรือความ “Win-Win” ไปด้วยกันทุกฝ่าย หรือไม่? อย่างไร? อันนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือ-ร่วมใจของแต่ละประเทศ ในทุกๆภูมิภาคหรือทุกๆ ซีกโลก ที่จะนิรมิต สร้างสรรค์ “ระเบียบโลกแบบใหม่” หรือ “ระเบียบโลกแห่งความยุติธรรม” (Fair World Order) ขึ้นมาได้ในตอนไหน? เมื่อไหร่? เท่านั้นเอง...