แม้เราจะได้ผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่มากว่า 2 สัปดาห์แล้ว แต่ดูเหมือนว่ากระแสอิ่มเอมและปลาบปลื้มของคนกรุงเทพฯ ยังไม่จางหาย จนกลายเป็นที่อิจฉาของคนต่างจังหวัดที่อยากจะมีโอกาสเลือกผู้ว่าฯ ของตัวเองบ้าง
กระแสของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ยังคงฟุ้งขจรขจายไปทั่วสารทิศ กลายเป็นความสุขของประชาชนคนกรุงเทพฯ ที่ได้ผู้นำใหม่ที่กระตือรือร้นเข้าถึงงานถึงคน ทำให้คนจำนวนไม่น้อยฝันไปไกลแล้วว่า นี่แหละคือผู้นำคนใหม่ที่จะนำพาชาติบ้านเมืองในอนาคตไม่ใช่แค่การปกครองท้องถิ่นอย่าง กทม.
ชัชชาติเองก็สนุกกับกองทัพนักข่าวช่างภาพที่ตามกันเป็นพรวนและรู้ว่าจะต้องวางท่าและพูดอย่างไรผ่านกล้องเพื่อสื่อสารกับประชาชน สามารถยึดครองพื้นที่สื่อได้แบบหมดจด แม้บางอย่างจะเป็นเหมือนการแสดงไปบ้าง เช่น การไปพายเรือคายัคเก็บขยะซึ่งไม่น่าจะได้ผลอะไรนอกจากได้ภาพ ในขณะที่เรามีเรือเก็บขยะขนาดใหญ่อยู่แล้วจำนวนมาก
ข้อดีของชัชชาติยังทำให้คนจำนวนมากตื่นตาตื่นใจว่า ประเทศเราก็มีดนตรีในสวนที่เป็นกิจกรรมอย่างอารยประเทศ แม้จริงๆ เขาจะจัดมาต่อเนื่องกันกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม แต่หลายคนคงเกิดไม่ทันและไม่รับรู้มาก่อนเพราะมัวอยู่ในห้องเสียงสะท้อนของตัวเอง (echo chamber) และเพิ่งทราบได้เปิดหูเปิดตาเมื่อชัชชาติเข้าไประเริงระบำในสวนนั่นแหละ
ชัชชาติยังแสดงให้เห็นว่าเขามุ่งที่จะทำงาน ทำงาน ทำงานอยู่ตลอดเวลา ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชาและรับฟังเพื่อนร่วมงาน มีเรื่องร้องเรียนตรงไหนก็กระโดดลงไปทันที เพื่อให้ชาวบ้านรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ว่าฯ ของทุกคนจริงๆ ที่พร้อมเข้าถึงทุกปัญหา แม้ผมไม่ได้เลือกชัชชาติและเคยมีความเห็นต่างๆ ต่อตัวชัชชาติก็ยังอดชื่นชมไม่ได้
สิ่งที่เราได้เห็นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาชัชชาติแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนประนีประนอมสามารถทำงานร่วมได้กับทุกคนเป็นผู้ว่าฯ ของทุกคน แม้กระทั่งการพบปะกับพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็เป็นไปอย่างให้เกียรติและนอบน้อมในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา สื่อให้เห็นว่าน่าจะประสานงานและทำงานร่วมกันได้ดี
ลักษณะและบุคลิกของชัชชาตินี่แหละที่ทำให้เรามีความหวังว่าจะมีคนกลางๆ ที่อยู่ระหว่างความขัดแย้งของคนในชาติของฝ่ายอนุรักษนิยม และฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้ดี และแม้ฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยชาวสามนิ้วสามกีบจะอ้างว่าชัชชาติเป็นผู้ว่าฯ ที่เป็นความหวังของพวกเขา แต่ตัวชัชชาติเองกลับแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ว่าฯ ของทุกคนไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะคะแนนเสียง 1.3 ล้านของชัชชาตินั้นว่าไปแล้วก็มาจากทุกฝ่าย
บางทีการมาถึงของชัชชาตินี่แหละที่เป็นตัวตอบโจทย์และเป็นทางออกความขัดแย้งของสังคมไทย ที่จะดันพวกขวาสุดโต่งและซ้ายสุดโต่งให้ตกขอบไปทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าขวานั้นจะเป็นคนอย่างพรรคไทยภักดีของหมอวรงค์ คนอย่างหมอเหรียญทองหรือฝ่ายซ้ายสุดโต่งอย่างพรรคก้าวไกล คนอย่างธนาธร ปิยบุตร เพราะถ้าขวาสุดโต่งและซ้ายสุดโต่งยังคงดำรงอยู่ก็มองเห็นอนาคตได้เลยว่าสังคมไทยจะเกิดความรุนแรงและคนในชาติจะหันหน้ามาประหัตประหารกัน โดยต่างฝ่ายต่างคิดว่าฝ่ายของตัวเองถูกและฝ่ายตรงข้ามนั้นผิด
ก่อนหน้านั้นเรามองไม่เห็นเลยว่าจะมีเครื่องมือหรือใครที่จะยับยั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอนาคตได้ จนมาเห็นว่าชัชชาตินี่แหละที่อาจจะเป็นคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ และจะเป็นเครื่องมือในการขจัดพวกสุดโต่งทั้งสองฝ่ายให้ออกไปจากเส้นทาง
แน่นอนว่าลักษณะผู้นำแบบชัชชาติจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับลักษณะของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าขอบเขตและภาระรับผิดชอบจะต่างกันคนหนึ่งดูแลเฉพาะใน กทม.แต่อีกคนต้องดูแลทั้งประเทศ แต่คนหนึ่งที่มีบุคลิกประนีประนอมพร้อมรับฟังความเห็นของทุกฝ่ายกับคนที่มีบุคลิกแข็งกร้าวพร้อมแต่จะพูดให้คนอื่นรับฟังนั้น ย่อมจะเห็นความแตกต่างและคุณค่าที่ต่างกันได้ชัดเจน
ก็หวังว่าบุคลิกและท่าทีแบบชัชชาติที่สะท้อนออกมานั้น อาจจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์มองเห็นและปรับเปลี่ยนท่าทีของตัวเองไปบ้างก็ได้ แม้ว่าเวลาของชีวิตจะล่วงเลยมามากจนยากจะเปลี่ยนแปลงแล้วก็ตาม
ชัชชาตินี่แหละที่อาจจะเป็นโซ่ข้อกลางของความขัดแย้งในสังคมไทยระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยมที่ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์กับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะชัชชาติแสดงให้เห็นถึงลักษณะของผู้นำที่พร้อมจะนำพาชาติไปข้างหน้า โดยมีลักษณะเป็นคนกลางพร้อมที่จะทำงานตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งจนเกินไป
เราเคยได้ข้อมูลที่ถูกปูพื้นมาก่อนว่า ชัชชาตินั้นมาจากครอบครัวที่มีความยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ เขาเป็นนักเรียนที่เคยได้รับพระราชทานทุนจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ และเขาได้แสดงออกชัดเจนในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระราชินีที่ผ่านมา เมื่อเห็นชัชชาติใส่เสื้อสีม่วงเข้าร่วมกิจกรรมถวายพระเกียรติได้อย่างไม่เคอะเขิน ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่า ถ้าเราได้ผู้ว่าฯ อีกคนที่พร้อมชนทุกฝ่ายจะเกิดภาพอย่างไรออกมา แม้อาจจะบอกว่านั่นเป็นกิจกรรมที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงก็ตาม
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะเคลือบแคลงชัชชาติที่เขาเคยมีท่าทีแสดงออกถึงการขานรับกับคนรุ่นใหม่ที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงบนท้องถนน และต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ลง ทั้งข้ออ้างว่าเพื่อจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์แต่มีนัยและการแสดงออกที่มีจุดมุ่งหมายไปสู่การล้มล้างมาก่อน ซึ่งต้องรอดูว่าชัชชาติจะมีความเห็นและแสดงออกตอบสนองคนเหล่านี้อย่างไรในวันข้างหน้า เมื่อบทบาทและภาระหน้าที่ของเขาเปลี่ยนไป
แม้ว่าสถานะของผู้ว่าฯ กทม.จะทำให้สามารถยืนห่างๆ จากความขัดแย้งในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองของคนในชาติ ไม่ได้มายุ่งเกี่ยวมากนัก แต่ในฐานะที่ชัชชาติเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ของฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย ก็เชื่อว่า ชัชชาติจะต้องถูกคนเหล่านั้นเรียกร้องให้แสดงตัวออกมาว่ามีจุดยืนทางการเมืองอย่างไร
และถ้าชัชชาติมีจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่ไกลกว่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติก็ต้องแสดงออกมาเพื่อให้ทุกฝ่ายพอใจ ซึ่งน่าสนใจว่า ชัชชาติจะแสดงจุดยืนเพื่อให้คนทุกฝ่ายยอมรับตัวเองได้อย่างไร ในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงของสังคมไทยที่สุมไฟมานานกว่าสิบปี
ต้องยอมรับว่าการมาของชัชชาติเป็นระดับของ “ปรากฏการณ์” แม้ว่าชัชชาติจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณที่คนอีกฝั่งหนึ่งหวาดกลัวและเคลือบแคลงใจ แต่เชื่อว่า ท่าทีบุคลิกของเขานั้นจะทำให้คนที่เคยหวาดกลัวเชื่อมั่นได้ว่าเขาจะมีความเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เครื่องมือของระบอบทักษิณและตระกูลชินวัตร
ถ้าการอยู่ในตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ของชัชชาติประสบความสำเร็จด้วยดี ในอนาคตชัชชาติอาจจะไม่ใช่คู่เปรียบของพล.อ.ประยุทธ์ของฝ่ายอนุรักษนิยมเท่านั้น แต่เขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าพิธาหรืออุ๊งอิ๊งของฝ่ายที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ได้
แต่จะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ชัชชาติต้องพิสูจน์ให้เห็นว่า เขาพร้อมจะเป็นคนของทุกฝ่ายไม่ใช่เครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan