xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิวัติอเมริกาหรือสงครามโลกครั้งที่ 3???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


David J. DeGraw นักกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน
เรียกว่า...เล่นกันแบบดื้อๆ ทื่อๆ!!! แบบไม่จำเป็นต้องอาศัยศิลปะ หรือชั้นเชิงใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย สำหรับการหันไป “ด่า” หรือหันไปโยนบาป โยนขี้ ให้กับผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ว่าเป็นต้นเหตุ สาเหตุ ที่ทำให้เกิด “เงินเฟ้อ” ในอเมริกา ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” หรือ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ วิตถาร” ก็แล้วแต่จะเรียก...

คือระหว่างการโอภาปราศรัยกับบรรดาอเมริกันชนในรัฐไอโอวา เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “โจ ไบเดน” ที่มักชอบกล่าวหาผู้นำรัสเซียว่าเป็นนักฆ่า เป็นฆาตกร เป็นอาชญากรสงคราม เป็นผู้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยูเครน หรือผู้คิดจะใช้อาวุธเคมีเล่นงานกองทัพยูเครน ฯลฯ อะไรไปโน่น ได้พยายามออกมาอรรถาธิบายกับชาวอเมริกัน ที่กำลังกระเป๋าแหก กระเป๋าฉีก กระเป๋าแบนแฟนทิ้งกันไปเป็นรายๆ อันเนื่องมาจาก “ภาวะเงินเฟ้อ” ในอเมริกา ที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาไปแล้วถึง 8.5 เปอร์เซ็นต์ ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ด้วยการสรุปแบบดื้อๆ ทื่อๆ เอาเลยว่า... “ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ หรือราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นๆ ในเดือนมีนาคมนั้น 70 เปอร์เซ็นต์มีสาเหตุมาจากการขึ้นราคาน้ำมันเบนซินของปูติน” ??? ??? ???

อันนี้...ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักคิด-นักวิชาการชาวอเมริกันเอง อย่าง “ด็อกเตอร์Gal Luft” ผู้อำนวยการร่วมแห่งสถาบัน “The Institute for the Analysis of Global Security” ต้องถือว่า... “เป็นวิธีที่ง่ายมาก ในการหันไปโยนบาปให้กับปูติน ด้วยเหตุเพราะบรรดาผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่ในอเมริกา ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจมากมายสักเท่าไหร่นัก” ทั้งๆ ที่โดยความจริง หรือโดยข้อเท็จจริงแล้ว ภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา ตามความคิด ความเห็น ของนักวิชาการท่านนี้ มันเริ่มแสดงแนวโน้มให้เห็นค่อนข้างชัดเจน มาตั้งแต่ “ยุคโอมาบ้า (โอบามา)” “ยุคทรัมป์บ้า” จนกระทั่งเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องระเบิดเถิดเทิงใน “ยุคโจ วิตถาร-โจ ซึมเซา” อย่างมิมีทางหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น...

เพราะสิ่งที่ต้องถือเป็นต้นเหตุ เป็นเหตุปัจจัย อันนำมาสู่ภาวะเงินเฟ้อระดับสูงสุดในรอบประวัติศาสตร์ 40 ปีของอเมริกา มันมีอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง ที่นอกเหนือไปจาก “ราคาน้ำมัน” จากรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาปริมาณ “หนี้สิน” ในอเมริกาที่พุ่งทะลุฟ้า ทะลุแก๊สไปถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้วในทุกวันนี้ ชนิดเรียกว่า...เกิดใหม่กันอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ยังอาจชดใช้ไม่หมด ปัญหาการขาดดุลงบประมาณ ขาดดุลการค้า นับเป็นล้านล้านดอลลาร์ที่แก้ยังไงก็แก้ไม่ได้ ไม่มีวันแล้วเสร็จ ไม่ว่าจะเปิดฉาก “สงครามการค้า” กับจีน ตลอดช่วง 4 ปีของ “ยุคทรัมป์บ้า” แต่ยังกลับขาดดุลเพิ่มขึ้นๆ อย่างมิอาจเยียวยาใดๆ ได้เลย หรือความพยายามกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ระดับเกือบๆ “ศูนย์เปอร์เซ็นต์” มาเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 15 ปี อันเป็นตัวทำให้เศรษฐกิจอเมริกาไม่อาจเดินหน้า เดินเครื่องได้แบบเต็มสูบมากมายสักเท่าไหร่นัก แม้จะพยายามพิมพ์แบงก์เพิ่ม อัดฉีดเงินดอลลาร์เข้าสู่ระบบ อย่างเป็นระบบเป็นกิจการเพียงใดก็ตาม ไปจนความจำเป็นที่จะต้อง “ล็อกดาวน์” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด จนส่งผลให้อเมริกาคว้าตำแหน่ง “จ้าวโรค” มาโดยตลอด หรือกระทั่งการขาดแคลนวัตถุดิบ แรงงาน และชิ้นส่วนอุปกรณ์ในธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน ฯลฯ ฯลฯ...

อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ถือเป็น “ความจริง” เป็น “ข้อเท็จจริง” ของภาวะเงินเฟ้อในอเมริกา ที่ไม่เพียงแต่ทำให้บรรดาอเมริกันชนกระเป๋าแบนแฟนทิ้งไปเป็นรายๆ แต่กำลังส่งผลให้ “คะแนนนิยม” ของพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครต เกิดอาการตกต่ำลงไปเหลือเพียงแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงประมาณ 14 เดือนที่ผ่านมา หรือทำให้อเมริกันชนไม่น้อยไปกว่า 69 เปอร์เซ็นต์ เกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อผู้นำประเทศตัวเอง อันอาจมีผลให้ประธานาธิบดีอเมริกันต้องง่อยเปลี้ย เสียขา หรือต้องกลายเป็น “เป็ดง่อย” หลังการ “เลือกตั้งกลางเทอม” ที่มีขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเอาง่ายๆ!!!

และอาจด้วยเหตุที่ไม่รู้จะหาทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” กันในแบบไหน ยังไง เมื่อไหร่ อย่างไร อะไรประมาณนี้ การหันไปโยนบาป โยนขี้ ให้กับผู้นำรัสเซีย จึงถือเป็นการดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย ที่อาจพอช่วยให้ตัวเองรอดตายไปวันๆ แต่สำหรับสังคมอเมริกัน หรือประเทศอเมริกาแล้ว เท่าที่นักคิด นักวิชาการ หรือนักกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกนผู้ได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อและแรงงาน ให้กับบรรดาผู้ยากจนเข็ญใจในอเมริกามาตลอดระยะไม่ต่ำกว่า 2 ทศวรรษ นั่นคือ “นายDavid J. DeGraw” เขาเคยได้พูดถึง เอ่ยถึง ความพยายามหาทางออก ทางไป ในลักษณะเหล่านี้ มาตั้งแต่เกือบๆ สิบปีมาแล้วในหนังสือเรื่อง “The Road Through 2012: Revolution or World War 3” ซึ่งได้สรุปไว้เพียงแค่ 2 ทางเท่านั้น สำหรับทางออก ทางไป หรือทางรอดของประเทศอเมริกา นั่นคือ...ถ้าหากไม่เกิดการ “ปฏิวัติ” ขึ้นมาในสังคมอเมริกัน บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายย่อมหนีไม่พ้นต้องถูกรัฐบาลของตัวเอง ฉุดกระชากลากถูให้เข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่ 3” กันจนได้...

อาจเป็นเพราะช่วงระยะนั้น...กำลังเกิดการ “ปฏิวัติ” แบบชนิดพลิกฟ้า-คว่ำดินในหลายต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะใน “โลกอาหรับ” หรือที่เรียกๆ กันว่า “อาหรับสปริง” พอดิบ พอดี นักคิด-นักวิชาการอย่าง “นายDavid J. DeGraw” เลยออกจะมองเห็นถึง “ความเป็นไปได้” ที่จะเกิดเหตุการณ์พลิกฟ้า-คว่ำดินในสังคมอเมริกัน ว่าน่าจะอยู่ไม่ใกล้-ไม่ไกล ด้วยเหตุเพราะเขามองเห็นถึงจำนวน-ปริมาณของบรรดาคนยาก-คนจน หรือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นมาตรฐานความจนของสหประชาชาติ ในประเทศอเมริกา ที่มีมากซะยิ่งกว่าคนจนในโลกอาหรับอย่างประเทศอียิปต์ หรือตูนิเซีย ฯลฯ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือมีจำนวนถึง 16.8 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่า 52 ล้านคนจากจำนวนประชากรประมาณ 309 ล้านคน ที่กระจัดกระจายอยู่ในคลีฟแลนด์ 35 เปอร์เซ็นต์ ในบัฟฟาโล 28.8 เปอร์เซ็นต์ ในมิลวอกี 27.8 เปอร์เซ็นต์ ในเซนต์หลุยส์ 26.7 เปอร์เซ็นต์ ในฟลอริดา 26.5 เปอร์เซ็นต์ ในเมมฟิส 26.5 เปอร์เซ็นต์ หรือในซินซินแนติ 25.7 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง เลยทำให้นักกฎหมาย นักวิชาการท่านนี้ เลยค่อนข้างคิดว่าโอกาสที่จะเกิด “Revolution” ไม่ใช่ “World War 3” น่าจะมีความเป็นไปได้ไม่มากก็น้อย...

เพราะแม้ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่ถึงกับ “แพง...แสน...แพง” เหมือนอย่างทุกวันนี้ ตามตัวเลข สถิติ ที่ “นายDavid J. DeGraw” ได้หยิบมาอ้างอิงไว้ในหนังสือดังกล่าว ก็พอสะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยากแสนเข็ญ ของบรรดาอเมริกันชนจำนวนมิใช่น้อย ที่มากกว่า 59 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาในด้านสุขภาพมาโดยตลอด 44 ล้านคนมีชีวิตอยู่รอดด้วยการพึ่งพา “แสตมป์อาหาร” 30 กว่าล้านคนว่างงาน ไม่มีงานทำ ฯลฯ โดยจำนวนปริมาณเหล่านี้มีแต่เพิ่มขึ้นๆ ไม่ได้ลดลงเอาเลยแม้แต่น้อย หรือจากบรรดาผู้ที่มีรายได้ในแบบชักหน้า-ไม่ถึงหลัง ที่เคยมีจำนวน 49 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2008 พอถึงปี ค.ศ. 2009 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 61 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปถึงปี ค.ศ. 2010 ปาเข้าไปถึง 77 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น...

จากตัวเลข สถิติ ในลักษณะดังกล่าว เลยทำให้นักกฎหมายและนักวิชาการรายนี้ ได้สรุปไว้ในช่วงนั้น ประมาณว่า... “ราคาอาหาร...จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าการกบฏ (ปฏิวัติ) กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ภาพของประชาชนที่รอเข้าคิวอยู่หน้าร้านวอลมาร์ทในวันสุดท้ายของเดือน เพื่อรอซื้อนม ขนมปัง ด้วยแสตมป์อาหารจะอุบัติให้เห็น และเมื่อราคาอาหารสูงขึ้น แสตมป์อาหารย่อมมีมูลค่าลดลงจนไม่อาจแลกซื้ออาหารได้ครบถ้วนดังเดิม เมื่อนั้นนั่นเอง...ผู้ยังชีพด้วยแสตมป์อาหารจำนวน 3.5 ล้านคนในแคลิฟอร์เนีย 2.9 ล้านคนในฟลอริดา 2.9 ล้านคนในนิวยอร์ก 1.9 ล้านคนในมิชิแกน 1.7 ล้านคนในโอไฮโอ 1.7 ล้านคนในจอร์เจีย อิลลินอยส์ เพนซิลเวเนีย นอร์ทแคโรไลนา เทนเนสซี แอริโซนา วอชิงตัน รวมถึงมิสซิสซิปปี มิชิแกน นิวเม็กซิโก ลุยเซียนา ฯลฯ จะกลายเป็นประชาชนผู้หิวโหยที่ไม่ยอมหิวโหยอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเมื่อมองถึงแผนผังเมืองนิวยอร์ก ที่มีประชากรถึง 2.9 ล้านคนผู้ยังชีพด้วยแสตมป์อาหาร และอยู่อาศัยในย่านแมนฮัตตัน ลองจินตนาการถึงภาพผู้คนเกือบ 3 ล้านคน หลั่งไหลออกมายังพื้นที่ด้านล่าง มุ่งไปสู่ท้องถนนเพื่อปิดเส้นทางคมนาคม หรือกรูไปยังย่านวอลล์สตรีท อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานเจพี มอร์แกน ที่ทำกำไรจากธุรกิจแสตมป์อาหารเมื่อปี 2010 ได้ถึง 5.47 พันล้านเหรียญไปจนถึงสำนักงานของซิตี้ กรุ๊ป เวลส์ฟาร์โก มอร์แกน สแตนลีย์ และแบงก์ ออฟ อเมริกา ฯลฯ แล้ววันนั้น...อะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมอเมริกันในสายตาชาวโลก???” นี่...อาจด้วยเหตุนี้นี่เอง เลยทำให้นักฆ่า หรือฆาตรกร หรือผู้นำมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเลยค่อนข้างเชื่อว่า การสิ้นสุดของ “ระเบียบโลก” แบบเดิมๆ จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการ “ล่มสลาย” ของอเมริกา ด้วยประการละฉะนี้...แล...




กำลังโหลดความคิดเห็น