xs
xsm
sm
md
lg

ระหว่างอเมริกา-รัสเซีย...ใครจะเจ๊งก่อนใคร???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



หายหน้าไปวัน-สองวัน...ด้วยเหตุเพราะมีธุระปะปังเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรี่ยวแรง กำลังวังชา แม้ว่าใกล้จะแง้มฝาโลง เคาะฝาโลง ยิ่งเข้าไปทุกที ดังนั้น...คงได้เวลามานั่ง “อัปเดต” ถึง “สงครามเศรษฐกิจ” ระหว่างรัสเซียกับคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ตามที่โฆษกเครมลิน “นายดมิตรี เพสคอฟ” ท่านว่าไว้ หรือจะเรียกว่า “สงครามลูกผสมแบบเบ็ดเสร็จ” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ได้ให้คำนิยามเอาไว้ก็แล้วแต่ เพราะการมองในรูปนี้อาจพอช่วยให้เห็นอะไรได้กว้างกว่า ไกลกว่า การมัวแต่ลุ้นไป-ลุ้นมา ว่ากองทัพรัสเซียบุกเข้าไปถึงไหนต่อถึงไหนในยูเครน หรือการอวด การโชว์ ของอดีตดาวตลก ประธานาธิบดียูเครน ที่ออกเดินสายทางวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ พูดโน่น พูดนี่ กับบรรดาประเทศต่างๆ จน “ขากรรไกร” แทบค้างไปแล้วก็ไม่รู้!!!

คือสุดท้าย...สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัด ตัดสิน ในการหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารโดยตรง หลังการยุแยงตะแคงรั่วของโลกตะวันตกต่อรัสเซีย แล้วหันไปใช้ “สงครามเศรษฐกิจ” หรือมาตรการ “แซงชั่น” แบบชนิดสุดโหด มหาโหด ปานประดุจคิดจะลบประเทศรัสเซียออกไปจากแผนที่โลกให้จงได้กันแทนที่นั้น มันจะสามารถส่งผลให้เศรษฐกิจรัสเซียต้องถอยหลังกลับไปถึง 15 ปี หรือจีดีพีประเทศภายในปีนี้จะหดหายไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ดังที่ผู้นำอเมริกัน อย่างประธานาธิบดี “โจ ซึมเซา” ท่านได้ออกมาแสดงความมุ่งมั่น ความกระเหี้ยนกระหือรือไว้แบบชนิดสุดฤทธิ์ สุดหลอด หรือไม่? ประการใด? อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะถือเป็นบทสรุป เป็นจุดสุดท้ายของ “สงคราม” ในลักษณะดังกล่าว เพราะถ้าหากหมีขาวรัสเซียต้องประสบชะตากรรมย่ำแย่ไปถึงขั้นนั้น โอกาสที่จะนำไปสู่ “การเปลี่ยนระบอบการปกครอง” ของรัสเซีย การล้มคว่ำคะมำหงายของผู้นำประเทศ อย่างประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” อันเป็นสิ่งที่ผู้นำอเมริกันเคย “หลุดปาก” ถึงความปรารถนาและความต้องการดังกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ หรือก่อนที่จะออกมาปฏิเสธในภายหลัง มันถึงจะมีโอกาส “เป็นไปได้” แบบจริงๆ จังๆ...

แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ความพยายาม “ปฏิเสธข้อเท็จจริง” ไม่ว่าในแง่ดำรง คงอยู่ของประเทศที่มีอาณาเขตบริเวณมากที่สุดในโลกอย่างรัสเซีย ว่าไม่ได้ลอยเท้งเต้งอยู่บนอวกาศ หรือในสุญญากาศ แต่มีที่ตั้งอยู่บนโลก อยู่ในแผนที่โลกมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานนับพันๆ ปี มากกว่าประวัติความเป็นมาของประเทศคุณพ่ออเมริกาซะอีกต่างหาก หรือในแง่การเป็นประเทศผู้ผลิตพลังงานเป็นอันดับ 3 และส่งออกเป็นอันดับ 2 ของโลก ที่เคยป้อนพลังงานเข้าสู่ตลาดโลกวันละไม่น้อยกว่า 7,000,000 บาร์เรล อันเป็นสิ่งที่เลขาธิการกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน “OPEC” อย่าง “นายMohammed Barkindo” ท่านได้ออกมาย้ำเอาไว้อีกครั้งเมื่อวัน-สองวันนี้นั่นแหละว่า เป็นสิ่งที่ “ปฏิเสธไม่ได้” หรือ “ไม่มีอะไรจะมาแทนที่ได้” ไปจนถึงความพยายามที่จะปฏิเสธว่าโลกทุกวันนี้ ไม่ได้มีเพียง “ขั้วอำนาจเดียว” อีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่อาจทำให้ความพยายามปฏิเสธความจริง ข้อเท็จจริงและพยายาม “ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้” ของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตก อาจส่งผลให้เกิดการ “ย้อนศร” เกิดแรงกระแทกย้อนกลับแบบชนิดไม่ต่างอะไรไปจาก “บูมเมอแรง” มาสู่คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ให้เกิดความฉิบหาย หรือเกิดอาการ “เจ๊ง” ไปก่อนหน้ารัสเซีย หรือก่อนที่จะมีโอกาสได้เห็นประธานาธิบดี “ปูติน” ล้มคว่ำคะมำหงายไปต่อหน้าต่อตาเอาเลยก็ไม่แน่!!!

เพราะถ้าหากลอง “อัปเดต” ถึงฉากสถานการณ์เศรษฐกิจในอเมริกาทุกวันนี้...คงต้องยอมรับว่า “กรอบ” เป็นข้าวเกรียบไม่น้อยไปกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างรัสเซีย ไม่มาก-ไม่น้อยไปกว่ากันสักเท่าไหร่นัก ตัวเลข “อัตราเงินเฟ้อ” ของเดือนมีนาคมที่อยู่ที่ประมาณ 7.9 เปอร์เซ็นต์ ทำท่าว่ากำลังขึ้นไปอยู่ประมาณ 8.4 เปอร์เซ็นต์ในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ หรือผู้เชี่ยวชาญบางรายถึงกับเชื่อว่า น่าจะขึ้นไปถึง 13.2 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วก็ไม่แน่ และก็คงไม่ได้ถือเป็นสมมติฐานที่เลื่อนลอยแต่อย่างใด เพราะอย่างที่นักวิเคราะห์แห่ง “RSM International” บริษัทด้านบัญชีอันดับ 6 ของโลก เขาได้คิดคำนวณตัวเลขเอาไว้แล้วล่วงหน้านั่นแหละว่า ถ้าระดับราคาน้ำมันขึ้นไปถึง 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อไหร่ อัตราเงินเฟ้อของอเมริกาจะโดดขึ้นไปถึง 10 เปอร์เซ็นต์อย่างมิพึงต้องสงสัย แม้ว่าทุกวันนี้ราคาน้ำมันจะลดต่ำลงมาเหลือประมาณ 98 ดอลลาร์กว่าๆ ด้วยเหตุเพราะการไขก๊อกปล่อย “น้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์” ของอเมริกาออกมาถึงวันละ 1 ล้านบาร์เรลก็ตามที แต่ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถ้าหากไม่มีอะไรที่จะปล่อย ที่จะไขก๊อกอีกต่อไป โอกาสราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นไปถึง 120 ดอลลาร์ หรือ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายสำนัก น่าจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

หรือแม้กระทั่งตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ที่ประมาณ 7.9 เปอร์เซ็นต์นี่แหละ...แต่ด้วยราคาสินค้าพลังงาน อาหาร ไปจนถึงสินค้าอุปโภค-บริโภคในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ฯลฯ ที่มีแต่ขึ้นเอาๆ ได้ทำให้ “วิถีชีวิตอเมริกันชน” เปลี่ยนแปลงไปแบบชนิด “พลิกหน้ามือเป็นหลังตีน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือถ้าว่ากันตามผลสำรวจการคิดคำนวณโดยนักวิเคราะห์ของสำนักข่าว “Bloomberg” ภายใต้อัตราเงินเฟ้อในระดับนี้ บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายในแต่ละครอบครัว จะต้องหารายได้เพิ่มไม่น้อยกว่า 5,200 ดอลลาร์ต่อปีหรือเกือบ 2 แสนบาท หรือ 433 ดอลลาร์ต่อเดือนประมาณเกือบ 2 หมื่นบาท ถึงจะสามารถ “ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป” เพราะเจอเข้ากับราคาน้ำมันตามปั๊มแกลลอนละ 4.33 ดอลลาร์ หรือบางพื้นที่อย่างเช่นแคลิฟอร์เนีย ปาเข้าไปถึง 7 ดอลลาร์ต่อแกลลอนเอาเลยก็มี เจอราคาค่าเช่าบ้านที่เพิ่มขึ้นไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในบางเขต บางพื้นที่ เจอกับราคาค่าอาหารที่เพิ่มขึ้นไปถึง 12.6 เปอร์เซ็นต์และใกล้จะถึง 20 เปอร์เซ็นต์อีกไม่นานนับจากนี้ ถ้าว่ากันข้อสรุปขององค์กร “FAO” เมื่อช่วงวันศุกร์ (8 เม.ย.) ที่ผ่านมา ฯลฯ ก็จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลกที่ตัวเลขสถิติอาชญกรรมว่าด้วยการ “ขโมยน้ำมัน” ตามปั๊มต่างๆ ไม่ว่าตั้งแต่รัฐนอร์ท แคโรไลนา โคโลราโด ฟลอริดา เท็กซัส ฯลฯ เพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น ก่อให้เกิดความสูญเสียปาเข้าไปถึง 140,000 ดอลลาร์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

พูดง่ายๆ ว่า...ความพยายามที่จะทำให้ “เศรษฐกิจรัสเซีย” ถอยหลังไปอีก 15 ปีของคุณพ่ออเมริกาและตะวันตกนั้น กำลังส่งผลให้ “เศรษฐกิจอเมริกา” และพันธมิตรตะวันตก อาจต้องถอยหลังไปอีกกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องถอยหลัง หรือต้อง “ถดถอย” อยู่แล้วแน่ๆ เพราะไม่ว่าจะโดยทัศนะ มุมมอง ของผู้เชี่ยวชาญแห่งวาณิชธนกิจชื่อดังอย่าง “Goldman Sachs” ที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่ามีโอกาสประมาณ 20-35 เปอร์เซ็นต์ที่เศรษฐกิจอเมริกาจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีกไม่นานนับจากนี้ หรือโดยการแจ้งข่าว แจ้งเตือน ของระดับหัวหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนแห่ง “BofA” หรือ “Bank of America” “นายMichael Harnett” ที่ต้องส่งจดหมายถึงบรรดาลูกค้าของธนาคารเมื่อช่วงวันศุกร์ (8 เม.ย.) ที่ผ่านมาประมาณว่า... “เศรษฐกิจในภาพรวมกำลังเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วและกำลังส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่...ภาวะถดถอย...อีกไม่นานนับจากนี้” ไปจนถึงหัวหน้าคณะผู้บริหารบริษัท “JP Morgan” “นายJamie Dimon” ที่ได้ระบุไว้ในรายงานประจำปีถึงบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายประมาณว่า... “การผนวกรวมของปัญหาเงินเฟ้อ วิกฤตยูเครนและการแซงชั่นรัสเซีย อาจเพิ่มความเสี่ยงอันน่าตื่นตระหนกสำหรับเศรษฐกิจอเมริกาและอาจนำมาซึ่งผลพวงที่มิอาจคาดเดาได้” ฯลฯ ฯลฯ...

นี่...ต้องเรียกว่า ใครจะเจ๊ง ใครฉิบหายก่อนใคร ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ผลพวงแห่งความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจของอเมริกา ยังไงๆ...คงต้องส่งผลถึง “การเลือกตั้งกลางเทอม” ของอเมริกาที่จะต้องเลือกผู้แทนราษฎรประมาณ 435 คนและวุฒิสมาชิกอีกประมาณ 35-100 คน ซึ่งจะมีขึ้นในอีกประมาณ 6-7 เดือนข้างหน้า หรือช่วงวันที่ 8 พฤศจิกายน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ และถ้าหากพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครตดันรูดมหาราช เจ๊งกะบ๊ง ไปในแต่ละเขต จนพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างรีพับลิกัน คุมเสียงข้างมากทั้งในสภาล่าง สภาสูง ได้แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด นั่นย่อมหมายถึงความปรารถนา-ความต้องการใดๆ ของผู้นำประเทศอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” หนีไม่พ้นต้อง “ซึมเซา” หรือต้องกลายเป็น “เป็ดง่อย” ไปโดยทันที อันทำให้ความพยายามที่จะ “Build-Back-Better” หรือพยายามทำให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่” กลับมาเป็น “ประมุขโลก” เป็น “ขั้วอำนาจเดียว” ต่อไปได้อีก ย่อมมีสิทธิสูญสลายหายวับไปกับตา และอาจทำให้ความพยายามที่จะ “เปลี่ยนแปลงระเบียบโลก” อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ได้ออกมาเปิดเผยถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการ “บุกยูเครน” ของรัสเซียเมื่อวัน-สองวันนี้ หรือการ “เปลี่ยนแปลงระบบการเงินโลก” ในขั้นแรก ที่รัฐมนตรีคลังรัสเซีย “นายแอนตัน สิลูอานอฟ” (Anton Siluanov) ได้ออกมาเชิญชวนให้บรรดากลุ่มประเทศ “BRICS” อันประกอบไปด้วยบราซิล-รัสเซีย-อินเดีย-จีน-และแอฟริกาใต้ ที่เริ่มหันมาค้าขาย-แลกเปลี่ยนกันด้วยเงินหยวน เงินรูเบิล หรือเงินรูปี ฯลฯ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการอยู่แล้ว หันมาร่วมมือ-ร่วมใจสรรค์สร้างขึ้นมาโดยไว ย่อมน่าจะมีสิทธิเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น