สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนอยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก ต่างก็อยากจะรู้ว่าผลสุดท้ายฝ่ายใดจะชนะและเสียหายมากกว่ากัน ส่วนหนึ่งกังวลว่าถ้าการสู้รบยืดเยื้อต่อไปเกี่ยวโยงมากกว่า 2 ประเทศนี้แล้ว จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 หรือไม่
บรรยากาศของความหวาดกลัวมีมากขึ้น เมื่อรัสเซียเตรียมพร้อมระบบการต่อสู้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ประกาศช่วงไปเยือนโปแลนด์ อย่างห้าวหาญว่า ผู้นำรัสเซียสมควรถูกจัดการให้พ้นจากอำนาจ
หลังจากหลุดปาก ต้องมีคนรีบแก้ตัวว่าไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพราะจะเป็นการกดดันรัสเซีย และฟ้องให้เห็นว่าเจตนาของสหรัฐฯ ต้องการทำสงครามกับรัสเซีย เมื่อกลับถึงสหรัฐฯ ไบเดนยังไม่วายขู่รัสเซียว่าอย่ารุกล้ำพรมแดนของกลุ่มนาโต
เป็นการหาเสียง หรือแสดงความเป็นผู้นำโจ ไบเดน ก็ได้พลั้งปากพูดไปแล้ว
สงครามเหมือนการสาดน้ำใส่กัน ย่อมต้องเปียกปอนทั้งสองฝ่าย แต่สงครามครั้งนี้ชาวโลกได้เห็นชัดว่ายูเครนเผชิญกับความพินาศย่อยยับของบ้านเมืองที่เป็นเป้าของการโจมตีโดยสารพัดอาวุธของรัสเซีย เกือบ 4 ล้านคนต้องหนีภัยอพยพออกจากยูเครน อีกกว่า 6 ล้านคนกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยในประเทศของตัวเอง
สงครามครั้งนี้เป็นฝรั่งผิวขาวรบราฆ่าฟันกันเอง อยู่ในพื้นที่ยุโรปเกี่ยวโยงกับกลุ่มนาโตและประชาคมยุโรปโดยมีสหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ร่วมช่วยเหลือยูเครนในการส่งอาวุธเงินทอง สิ่งของอุปกรณ์ต่างๆ อ้างว่าเป็นภารกิจในการต่อสู้เพื่อหลักการประชาธิปไตยเสรีนิยม
สภาวะนี้เกือบจะเป็นสงครามโลกทั้งด้านเศรษฐกิจเพียงแต่ไม่ได้ต่อสู้กันด้วยอาวุธนอกเหนือจากยูเครนและรัสเซีย แต่ประเทศที่ส่งอาวุธให้ยูเครนพร้อมที่จะเห็นประเทศที่น่าสงสารนี้ล่มสลายพินาศโดยไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าจะฟื้นฟูได้
สงครามในเยเมนยืดเยื้อมา 8 ปี มีคนเสียชีวิตหลายแสนคน กว่า 20 ล้านคนอยู่ในสภาพอดอยากขาดแคลนทุกอย่าง บ้านเมืองพินาศทั้งโรงพยาบาลสถานที่ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามถูกทำลายย่อยยับโดยกลุ่มประเทศอาหรับนำโดยซาอุดีอาระเบีย
โลกสนใจเหตุการณ์ในเยเมนต่อเมื่อฝ่ายกบฏฮูตี ยิงจรวดใส่โรงกลั่นน้ำมันในซาอุดีอาระเบียสร้างความเสียหาย ถูกประเมินว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดน้ำมันโลกแค่ไหน สื่อโลกตะวันตกไม่ได้สนใจพิบัติภัยที่เกิดขึ้นกับชาวเยเมนหรือสงครามอื่นๆ ในเอธิโอเปียและโซมาเลีย รวมถึงประเทศในแอฟริกา
โลกตะวันตกได้แสดงให้เห็นถึงความเป็น 2 มาตรฐาน กลุ่มประเทศยุโรปรังเกียจเดียดฉันท์ผู้ลี้ภัยจากตะวันออกกลาง เอเชีย และแอฟริกาซึ่งลี้ภัยเข้าไปในยุโรปบางประเทศถึงกับประกาศเป็นนโยบายว่าไม่รับผู้ลี้ภัยผิวสีน้ำตาลหรือสีดำ เป็นมุสลิมบางประเทศถึงขั้นกั้นรั้วลวดหนามและยิงแก๊สน้ำตาขับไล่จนบาดเจ็บทั้งกายและใจ
แต่ผู้ลี้ภัยจากยูเครนเหมือนกลุ่มประชาชนชั้นกลาง แต่งกายดีเมื่อไปถึงเพื่อนบ้านยุโรปก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีมีเต็นท์ อาหารอุ่นพร้อมและที่พักอาศัยก่อนจะแยกย้ายไปตามประเทศต่างๆ ในยุโรป ไม่มีการตรวจตราเข้มงวดเพียงแต่มีผมสีบลอนด์ ผิวสีขาว ตาสีฟ้า และเป็นคริสเตียน ก็เหมือนเป็นวีซ่าผ่านเข้าประเทศได้
แตกต่างจากคนผิวสีอื่นจากทวีปอื่นซึ่งถูกกีดกันทุบตี บางประเทศในยุโรปเช่นเดนมาร์กถึงกับประกาศว่าจะส่งผู้ลี้ภัยจากซีเรียกลับประเทศเพื่อให้กลุ่มคนจากยูเครนมาทดแทน เป็นการฟ้องให้เห็นความเป็น 2 มาตรฐานเหยียดเชื้อชาติสีผิว
หลายประเทศในยุโรปดีใจที่ได้ประชากรเพิ่มเพราะอัตราการเกิดน้อย ต้องการแรงงานซึ่งผู้ลี้ภัยยูเครนมีเด็กสตรี ซึ่งพร้อมที่จะเป็นแรงงานในปัจจุบันและอนาคต
แต่ละรัฐบาลแสดงความใจกว้างพร้อมอ้าแขนรับ แม้จะรู้สึกว่าเป็นภาระแต่จะมีเงินช่วยเหลือจากองค์กรต่างๆ ภายใต้สหประชาชาติและสหรัฐอเมริกาผู้นำในการสนับสนุนยูเครนด้านอาวุธซึ่งจะนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองต่อไป
ความเกลียดชังระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็ยังไม่เลือกสีผิว สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้นยังเป็นการเข่นฆ่ากันในกลุ่มของคนสายพันธุ์สลาฟ แต่เหตุผลทางการเมืองและผลประโยชน์ทำให้ผู้มีอำนาจไม่ต้องคำนึงถึงเชื้อชาติ สายพันธุ์ หรือศีลธรรมเพราะสงครามมีอยู่ในทุกยุคตั้งแต่โบราณกาล
รัสเซียได้เริ่มขั้นที่ 2 ของสงครามโดยการโจมตีคลังน้ำมันและโรงงานทหารใกล้เมืองเลวีฟซึ่งอยู่ในด้านตะวันตกห่างจากชายแดนติดกับโปแลนด์ 70 กิโลเมตร ซึ่งได้เป็นคำเตือนถึงชาวยูเครนว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย หรือรอดพ้นจากการโจมตีได้
ผู้นำตัวตลกของยูเครนยังได้เรียกร้องขอเครื่องบินรบ รถถัง ระบบต่อสู้อากาศยาน จรวดยิงรถถัง รวมทั้งอาวุธประเภทอื่นๆ จากสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรปเพื่อต่อสู้กับรัสเซียโดยไม่คำนึงว่าบ้านเมืองที่ยังเหลืออยู่จะพินาศย่อยยับเหมือนเป้าหมายของการทำลายโดยกองทัพรัสเซียก่อนหน้านี้
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มนาโต รวมทั้งกลุ่มประชาคมยุโรปเท่ากับส่งเสริมสงครามโดยใช้ยูเครนเป็นตัวแทนและเป็นเบี้ยเพื่อเล่นงานรัสเซียต่อไป ซึ่งจะยืดเยื้อแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้นำตัวตลกจะอยู่รอดอีกได้นานหรือไม่
สงครามทำให้มนุษย์ต้องระดมทรัพยากรสารพัดเพื่อเข่นฆ่ากัน นำโดยผู้นำประเทศซึ่งอ้างว่ามีความรู้ เป็นอารยชน แต่ประชาชนทั่วไปกลายเป็นเหยื่อต้องสังเวยด้วยชีวิตและความทุกข์ยากลำบาก ดังจะเห็นในยูเครนและประเทศอื่นๆ