กลุ่มพันธมิตรซาอุดีอาระเบียประกาศเริ่มต้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเยเมนวันนี้ (26 มี.ค.) หลังจากที่คลังน้ำมันของซาอุฯ ถูกพวกกบฏฮูตียิงถล่มจนเกิดเพลิงไหม้
กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศโจมตีเป้าหมายทั้งในกรุงซานา และเมืองท่าโฮเดดาห์ (Hedeidah) ริมทะเลแดง เพื่อ “ปกป้องแหล่งพลังงานของโลกและคงไว้ซึ่งห่วงโซ่อุปทาน” โดยปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย และกบฏฮูตีนิกายชีอะห์ที่มีอิหร่านหนุนหลังอยู่ “จะต้องได้รับผลจากการกระทำอันก้าวร้าว” ของพวกเขา
สื่อซาอุฯ ยังอ้างคำแถลงจากกลุ่มพันธมิตรที่ระบุว่า “จะจัดการกับต้นตอของภัยคุกคามโดยตรง” โดยขอให้พลเรือนเยเมนอยู่ห่างจากโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งในโฮเดดาห์เพื่อความปลอดภัย
ฝ่ายริยาดยังอ้างว่าสามารถยิงทำลายโดรนติดอาวุธ 2 ตัวที่ถูกส่งมาจากเมืองท่าโฮเดดาห์ เพื่อมุ่งมาโจมตีเป้าหมายในดินแดนซาอุฯ
สถานีโทรทัศน์อัลมาซีราห์ซึ่งเป็นสื่อของกบฏฮูตีรายงานว่า ฝูงบินขับไล่ของพันธมิตรซาอุฯ ได้ตระเวนทิ้งบอมบ์ใส่เมืองท่าโฮเดดาห์ ซึ่งรวมถึงบริเวณท่าเรือซาลิฟ (Salif) โรงไฟฟ้า และคลังน้ำมันหลายแห่ง ขณะที่ชาวเยเมนในกรุงซานาบอกกับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ว่า อาคารที่ทำการของบริษัทน้ำมันเซเฟอร์ (Safer) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองถูกทิ้งระเบิดด้วย
ก่อนหน้านั้น กบฏฮูตีในเยเมนได้ประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีคลังน้ำมันของซาอุดีอาระเบียเมื่อวันศุกร์ (25) ขณะที่กลุ่มพันธมิตรซาอุฯ ยืนยันว่า สถานีจ่ายปิโตรเลียมของบริษัท ซาอุดี อารัมโก ในเมืองเจดดาห์ (Jeddah) ตกเป็นเป้าหมาย ทำให้ถังเก็บน้ำมัน 2 แห่งเกิดเพลิงไหม้ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้บาดเจ็บ หรือเสียชีวิต
กระทรวงพลังงานของซาอุฯ ออกมาประณาม “การก่อวินาศกรรม” ครั้งนี้ และย้ำว่าซาอุฯ จะไม่ขอรับผิดชอบหากความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันโลก
ทางกระทรวงฯ ยังกล่าวหาอิหร่านว่าจัดส่งขีปนาวุธทิ้งตัวและโดรนที่ทันสมัยให้แก่กบฏฮูตีไม่หยุดหย่อน ขณะที่เตหะรานปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่เป็นความจริง
การยกระดับปฏิบัติการโจมตีซาอุฯ ของพวกฮูตีมีขึ้นในขณะที่ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) พยายามโน้มน้าวให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงในช่วงเดือนรอมฎอน ซึ่งจะเริ่มในช่วงต้นเดือน เม.ย.นี้
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวประณามการโจมตีชาติพันธมิตรซาอุฯ พร้อมยืนยันว่า สหรัฐฯ จะร่วมมือกับริยาดเพื่อเสริมการป้องกันดินแดนของซาอุฯ รวมถึงแสวงหาแนวทางที่ยั่งยืนในการยุติความขัดแย้งในเยเมน
ที่มา : รอยเตอร์
