ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ผมรู้จักวงดนตรี ดิ อิมพอสซิเบิ้ล (The Impossible) จากหนังเรื่อง โทน (2513) ที่กำกับโดยเปี๊ยก โปสเตอร์ ซึ่งเป็นนามแฝงของคุณสมบูรณ์สุข นิยมศิริ (2475-) หนังเรื่องนี้มีเพลงของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล (The Impossible) อยู่สามเพลงประกอบอยู่ด้วย
แรกที่ได้ฟังนั้นผมรู้สึกว่า เพลงที่ร้องและบรรเลงโดย ดิ อิมพอสซิเบิ้ล นั้นเหมือนเพลงฝรั่ง ที่เวลานั้นผมได้สนใจฟังมาระยะหนึ่งแล้ว ด้วยรู้สึกว่าภาษาอังกฤษในเพลงฝรั่งไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่เราเรียนในชั้นเรียน ครั้นได้มาฟังที่วง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ร้องแล้วก็ให้รู้สึกอัศจรรย์ใจว่า คนเราสามารถร้องเพลงไทยแบบเพลงฝรั่งก็ได้ด้วย
ที่สำคัญ เพลงของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ไม่เหมือนกับวงดนตรีในแนวเดียวกันที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น ซึ่งฟังยังไงๆ ก็ไม่เหมือนกับที่วง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ร้องหรือบรรเลง แต่ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไรด้วยไม่ใช่นักดนตรี อย่างเช่นบางเพลงที่มีการร้องประสานเสียงกันวงนี้ก็ร้องประสานเสียงจริงๆ ไม่ใช่ร้องแบบที่เรียกว่า ร้องพร้อมกันแล้วบอกว่าประสานเสียง
ด้วยเหตุที่ผมฟังแล้วเหมือนร้องเพลงไทยแบบเพลงฝรั่ง ผมซึ่งกำลังสนใจฟังเพลงฝรั่งจึงหันมาสนใจฟังแบบที่เรียกว่าคลั่งไคล้วง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ตั้งแต่นั้นมา
ดิ อิมพอสซิเบิ้ลที่ผมรู้จักในเวลานั้นมีสมาชิกหกคนคือ เศรษฐา ศิระฉายา (2487-2565) อนุสรณ์ พัฒนกุล (2492-2560) สิทธิพร อมรพันธุ์ (2490-2558) วินัย พันธุรักษ์ (2490-) พิชัย ทองเนียม (2489-) และปราจีน ทรงเผ่า (2489-2548) โดยที่ก่อนหน้าและหลังจากนี้มีสมาชิกเข้าออกอยู่จำนวนหนึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้วมักถือกันว่าสมาชิกทั้งหกคนนี้คือพื้นฐานของวง เนื่องจากอยู่ในช่วงที่วงกำลังรุ่งโรจน์จนถึงเมื่อแยกวง
ดิ อิมพอสซิเบิ้ลจึงมีอายุวงราวสิบปี คือตั้งแต่ 2509 ถึง 2519
หลังจากรู้จักแล้วผมได้ติดตามเพลงและข่าวสารของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล อย่างไม่ลดละ จนไม่มีเพลงไหนของวงนี้ที่ผมไม่รู้จัก มีก็แต่อย่างเดียวที่ผมมิอาจทำได้ในขณะนั้นก็คือ การได้ดูทางวงแสดงในกรุงเทพฯ เพราะผมอยู่จังหวัดชายแดนที่ไกลปืนเที่ยง ที่ยังไงๆ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ไม่มีทางลงมาแสดงถึงที่อยู่แล้ว
ดังนั้น เวลาที่ผมเห็นข่าว ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ไปเล่นที่ไหนในกรุงเทพฯ ผมจึงให้รู้สึกอิจฉาคนที่กรุงเทพฯ ที่ได้ฟังวงนี้เล่นกันสดๆ ยิ่งเมื่อได้ข่าวว่า ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ร้องเพลงฝรั่งเพลงนั้นเพลงนี้เหมือนต้นฉบับด้วยแล้ว ผมก็ยิ่งรุ่มร้อนอยากจะฟังหนักเข้าไปอีก แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้นจนในอีกกว่าสี่สิบปีต่อมา
ผมเฝ้าติดตามผลงานเพลงของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองครั้งใหญ่วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ตอนนั้น ดิ อิมพอสซิเบิ้ล โด่งดังจนได้ไปเล่นที่ฮาวายแล้ว ข่าวสารของวงจึงค่อยๆ ซาลงไป แต่ผมก็อดดีใจไม่ได้เมื่อเห็นมีภาพและข่าวของวงจากฮาวายมาถึงเมืองไทยเป็นระยะๆ
ตอนนั้นผมได้มาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แล้ว แต่เพราะ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ไม่อยู่ในไทยผมจึงยังคงไม่มีโอกาสได้ดูวงนี้แสดงเช่นเคย ครั้นอยู่กรุงเทพฯ ได้หนึ่งปีจึงกลับบ้านต่างจังหวัด ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ก็กลับมาไทยในมาดใหม่ และได้ออกผลงานเพลงในช่วงท้ายๆ ของวง ก่อนที่จะประกาศสลายวงไปเนื่องจากถึงจุดอิ่มตัวในปี 2519
ในช่วงเวลาดังกล่าว ความนิยมในการฟังเพลงของผมได้เปลี่ยนไป ผมเริ่มหันมาสนใจการเมืองหลัง 14 ตุลาเหมือนกับคนที่อยู่ในวัยเดียวกันจำนวนมากในขณะนั้น ส่วนเพลงที่ฟังก็เปลี่ยนมาฟังเพลงเพื่อชีวิตแทน ถึงแม้จะยังคงติดตามผลงานของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล อยู่ก็ตาม
สิ่งที่ผมสนใจอย่างมากก็คือ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล มีทัศนะทางการเมืองหลัง 14 ตุลาอย่างไรบ้าง ในขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองในเวลานั้นได้ทวีความแหลมคมและรุนแรงมากขึ้น แต่เราก็รู้ได้จากคนคนเดียวคือ ปราจีน ทรงเผ่า หนึ่งในสมาชิกของวงที่ให้สัมภาษณ์นิตยสาร จัตุรัส ฉบับปีที่ 2 ฉบับที่ 39 วันอังคารที่ 6 เมษายน 2519 หน้า 45-46
จากบทสัมภาษณ์ดังกล่าวทำให้รู้ว่า ปราจีน ทรงเผ่า เป็นผู้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองและเป็นนักอ่าน ปราจีนมองขบวนการนิสิตนักศึกษาในขณะนั้นด้วยความเข้าใจ ไม่ว่าจะกรณีการขับไล่ฐานทัพสหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่ในไทย หรือการพูดถึงเรื่องสังคมที่กดขี่ขูดรีดในขณะนั้น
ที่สำคัญ ปราจีนมีความรู้สึกดีต่อเพลงเพื่อชีวิต และมีความคิดที่จะให้เพลงเพื่อชีวิตได้มีที่ยืนในการแสดงมากขึ้นมากกว่าที่จะแสดงในหมู่นิสิตนักศึกษา แต่ด้วยเหตุที่เหตุการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้งรุนแรง ปราจีนจึงหยุดความคิดของเขาในเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่ออาชีพของเขา
ในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว ปราจีนยังเล่าด้วยว่า เศรษฐา ศิระฉายา ซึ่งเป็นหัวหน้าวงและเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดีว่าไม่เห็นด้วยกับการขับไล่ฐานทัพสหรัฐฯ โดยเศรษฐาให้เหตุผลว่า ไม่ควรไล่เขา เกิดเราไปอยู่ในอเมริกาแล้วเขาไล่เราบ้างจะว่าอย่างไร ปราจีนตอบเศรษฐาว่า เราไม่ได้ไล่คนอเมริกัน แต่เราไล่ทหารอเมริกันและพวกที่เข้ามาแทรกแซงทางการเมือง ประชาชนต่อประชาชนยังคบกันอยู่ ไปมาหาสู่กันได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ประกาศแยกวงแล้ว สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำงานดนตรีของแต่ละคน แต่ที่มีผลงานให้เป็นที่รู้จักหรือไม่ลืมกันไปเห็นจะมีอยู่สองคนคือ ปราจีนกับเศรษฐา โดยปราจีนไปทำ วงฮอทเปบเปอร์ ส่วนเศรษฐาดูจะเป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำมากกว่าเพราะมีทั้งผลงานเพลง การแสดง และพิธีกร
นับจากทศวรรษ 2520 เรื่อยมา ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ที่แม้แยกวงไปแล้วก็ยังมีโอกาสรวมวงเฉพาะกิจด้วยการเปิดการแสดงเป็นครั้งเป็นคราว ผมได้มีโอกาสดูในบางครั้ง แต่ไม่อิ่มใจ เพราะทางวงนอกจากจะเล่นเพลงของวงน้อยแล้วก็ยังนำเอานักร้องรับเชิญมาร่วมด้วย ทำให้การแสดงของวงมิใช่ดิ อิมพอสซิเบิ้ลเต็มรูปแบบ
ผมได้ดู ดิ อิมพอสซิเบิ้ล ในแบบที่เป็น อิมพอสซิเบิ้ล จริงๆ ก็ในคอนเสิร์ต ดิ เอน ออฟ ดิ อิม ในวันที่ 30 ตุลาคม 2561 ณ สยาม พารากอน การแสดงครั้งนี้แม้จะเหลือสมาชิกวงเพียงสามคนคือ เศรษฐา วินัย และพิชัย จนผมไม่แน่ใจว่าตนจะอิ่มใจหรือไม่นั้น ก็ปรากฏว่าเศรษฐาซึ่งเป็นผู้ร้องนำเป็นส่วนใหญ่นั้นเอาอยู่
คอนเสิร์ตในคืนวันนั้น ดิ อิมพอสซิเบิ้ลไม่เพียงได้นำเพลงที่เป็นของวงมาเล่นกันอย่างเต็มที่เท่านั้น หากในบางช่วงยังได้นำเพลงฝรั่งมาร้องด้วย และทำให้ผมเข้าใจทันทีว่า ที่ว่าวงนี้ร้องได้เหมือนต้นฉบับเดิมนั้นเป็นอย่างไร
จนกล่าวได้ว่า คอนเสิร์ตในคืนวันนั้นอะไรๆ ที่เป็น ดิ อิมพอสซิเบิ้ลที่ผมเคยได้ข่าวเมื่อครั้งวัยรุ่นนั้น ล้วนถูกนำมาแสดงให้เห็นจริงในคืนนั้น การแสดงครั้งนั้นจึงไม่เพียงเติมเต็มความใฝ่ฝันของผมที่เฝ้ารอมานานกว่าสี่สิบปีเท่านั้น หากยังทำให้ผมตระหนักอีกด้วยว่า ส่วนหนึ่งของชีวิตผมที่เติบโตจนล่วงสู่วัยกลางคนในทุกวันนี้นั้น ย่อมมีดิ อิมพอสซิเบิ้ลเป็นส่วนหนึ่งของการหล่อหลอมด้วย
หลังคอนเสิร์ตคืนนั้นไปแล้ว ปีถัดมาก็มีข่าวว่า เศรษฐาป่วยเป็นมะเร็ง พอมาปีนี้เศรษฐาก็จากไป คอนเสิร์ต ดิ เอน ออฟ ดิ อิม ในคืนนั้นจึงเป็นสัญญาณสุดท้ายของการตั้งอยู่ของวง สมดังชื่อคอนเสิร์ตที่ทำให้เข้าใจเช่นนั้น