xs
xsm
sm
md
lg

แถลงการณ์ร่วมจีน-รัสเซีย...กับระเบียบโลกใหม่!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ภายใต้บรรยากาศการพบปะแบบชนิดชื่นมื่น ชื่นสะดือของ 2 ผู้นำมหาอำนาจคู่แข่งคุณพ่ออเมริกา อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ของจีน และประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”ของรัสเซีย ในช่วงพิธีเปิดมหกรรรมโอลิมปิกฤดูหนาว ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อช่วงวันศุกร์ (4 ก.พ.) ที่ผ่านมา เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยหนีไม่พ้นต้องขออนุญาตหันไปสำรวจตรวจสอบ ลักษณะอาการและระดับ “ความสัมพันธ์จีน-รัสเซีย” ให้ชัดๆ อีกสักเที่ยว ว่าสุดท้ายแล้ว...ภายใต้ความชื่นมื่น ชื่นสะดือ เหล่านี้จะนำมาซึ่งอะไรต่อมิอะไรภายในอนาคตเบื้องหน้า ท่ามกลางโลกที่กำลังเต็มไปด้วยความตึงเครียดและการเผชิญหน้าแบบนับวันมีแต่จะยิ่งสูงเข้าไปทุกที!!!

คืออย่างที่เคยหยิบยกเอาสุนทรพจน์ของผู้นำจีน เมื่อช่วงคราวครบรอบ 95 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ตั้งแต่ช่วงเมื่อ 6 ปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2016 มาย้ำแล้ว ย้ำอีก ให้เห็นไปครั้งแล้ว ครั้งเล่า นั่นแหละว่า ในทัศนะของประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ความสัมพันธ์ระหว่างพญามังกรจีนกับหมีขาวรัสเซียนั้น ถือเป็น “กุญแจดอกสำคัญ”ในการ “เปลี่ยนโลก” หรือ “เปลี่ยนระบบโลก” เอาเลยก็ว่าได้ หรืออย่างที่อดีตโฆษกสถานทูตจีนประจำสหรัฐฯ “นายLiu Pengyu”ท่านเคยพยายามอธิบายขยายความต่อสื่อมวลชนอเมริกันเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้นั่นแหละว่า คงไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ระดับ “Side-by-Side”หรือไม่ใช่แค่คิดจะร่วม “เคียงบ่า-เคียงไหล่” ระหว่างกันเท่านั้น แต่ไปไกลถึงขั้น “Back-to-Back” หรือแบบพร้อมหนุนช่วย หนุนหลังซึ่งกันและกัน ชนิดที่... “ยิ่งโลกขาดเสถียรภาพยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ความร่วมมือระหว่างจีนและรัสเซีย ยิ่งก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปเท่านั้น...” เพื่อที่จะนำมาซึ่ง... “การปฏิเสธต่อลัทธิครองความเป็นจ้าว (hegemony) และการข่มขู่ โดยเราจะเป็นเสมือนหนึ่งเสาหลักแห่งสันติภาพและความมั่นคงของโลก จีนและรัสเซียไม่ได้คิดจะหาพวก แต่เรามีข้อตกลงที่จะร่วมกันสร้างรูปแบบแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน ความร่วมมือที่ให้ประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างประชาชนกับประชาชน ความยุติธรรมและความจริงใจ อันเป็นหนทางที่จะนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของโลก...”

นี่...ไปไกล ไปโลด กันไปถึงขั้นนั้น!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ระหว่างที่คุณน้ารัสเซียท่านกำลังหนีไม่พ้นต้องปวดเศียรเวียนเกล้า ในเรื่อง “วิกฤตยูเครน” ต้องเจอกับการปฏิเสธของคุณพ่ออเมริกาและนาโตต่อ “ข้อเสนอ”ของรัสเซียในการไม่ล่วงละเมิดเส้นตาย หรือการขยายอำนาจอิทธิพลเข้าไปประชิดติดพรมแดนรัสเซีย ไม่เพียงแต่ใครต่อใครในประเทศจีนไม่ได้คิดจะ “เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ ไม่ว่าโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายZhao Lijiang” รัฐมนตรีต่างประเทศ “Wang Yi”ตลอดไปจนประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ที่ดาหน้าออกมาตำหนิติเตียน คุณพ่ออเมริกาและตะวันตกในเรื่องนี้ ท่ามกลางการพบปะของ 2 ผู้นำมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาเที่ยวนี้ ยังได้นำไปสู่การออก “แถลงการณ์ร่วม” ของ 2 ประเทศ ด้วยถ้อยคำประมาณ 6,000 คำ ที่แสดงให้เห็นถึง “จุดยืน” ในการปฏิเสธและต่อต้านนโยบายขยายตัว (Enlargement) ของนาโต ไปยังยุโรปตะวันออก หรือบรรดาประเทศที่ใกล้ชิดติดพันกับรัสเซีย รวมทั้งปฏิเสธและต่อต้านความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “AUKUS”ในภูมิภาคแปซิฟิก อย่างชนิดตรงไป-ตรงมาอีกด้วย!!!

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่จำเป็นต้องอมพะนำ อมสากกะเบือใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ทั้งจีนและรัสเซียพร้อมแล้วที่จะแสดงท่าทีปฏิเสธและต่อต้านความเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ อย่างไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรงอำนาจ อิทธิพล ของคุณพ่ออเมริกาและตะวันตก เหมือนอย่างเมื่อครั้งก่อนๆ อีกต่อไป และนั่นเท่ากับถ้าหากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกยังไม่คิดที่จะ “ลด-ละ-เลิก”ต่อการกระทำในลักษณะที่ว่านี้ โอกาสที่ “เครื่องจักรสังหาร” ที่เคยเชื่อๆ กันว่ามีศักยภาพทางทหารสูงสุดอย่างอเมริกา อาจต้องเผชิญหน้ากับ “ศึก 2 ด้าน” ย่อมมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น หรือไม่เพียงต้องเจอกับการ “บุกยูเครน” ของกองทัพหมีขาวรัสเซีย ภายในเวลาเดียวกันกับการ “บุกไต้หวัน” ของกองทัพมังกรจีนเท่านั้น เผลอๆ...อาจต้องเจอกับการส่ง “บ้องข้าวหลามยักษ์” ของเกาหลีเหนือไปยังหัวกบาลของเกาหลีใต้ พร้อมๆ กันเอาเลยก็ไม่แน่!!!

อันนี้นี่แหละ...ที่น่าจะทำให้มหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ย่อมมีสิทธิ์เสียววูบ เสียวตูด เสียก้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ เพราะไม่ว่าจะโดยการประเมิน การคาดคำนวณทางยุทธศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการจำลองภาพเหตุการณ์การปะทะขัดแย้ง (War Games) กันในลักษณะนี้ โอกาสที่ประเทศ “เครื่องจักรสังหาร”อย่างอเมริกา จะมีแต่ “แพ้...กับ...แพ้” ถึงขั้นสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน เอาเลยถึงขั้นนั้น ออกจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ไม่ว่าจะโดยการประเมินของผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันเอง อย่างศาสตราจารย์ “Lyle Goldstein” ที่ใช้เวลาถึง 20 ปีในการทำงานวิจัยให้กับ “The Naval War College”และปัจจุบันยังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการ “Defense Priority Think-Tank” ที่สรุปเอาไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ถ้าหากอเมริกาต้องเผชิญกับ “ศึก 2 ด้าน” ขึ้นมาเมื่อไหร่...เราอาจแพ้เอาง่ายๆ!!! เช่นเดียวกับอดีตหนึ่งในคณะบัญชาการศูนย์บัญชาการปฏิบัติการทางทหารของอเมริกา อย่าง “นายDavid T. Pyne”ที่สรุปไว้ในแบบเดียวกันว่ากองทัพสหรัฐฯ ไม่อาจรับมือกับการเผชิญหน้าจากกองทัพจีนและรัสเซียพร้อมกันได้เลย...

หรือแม้แต่ผู้ที่ยังทำหน้าที่รับผิดชอบกำลังทหารสหรัฐฯ ในปัจจุบัน อย่าง “พลเรือเอกCharles Richard” ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทางยุทธศาสตร์ ที่เคยเข้าให้การต่อสภาคองเกรส เมื่อช่วงเดือนเมษายนปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2021 ที่ยอมรับสารภาพอย่างตรงไป-ตรงมา ว่ากองทัพสหรัฐฯ ไม่ได้มีแผนสนับสนุน หรือแผนรับมือกับฉากสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้เลย หรือแม้กระทั่งย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ช่วงปี ค.ศ. 2019 ภายใต้การทดสอบการจำลองเหตุการณ์ หรือ “War Games”โดย “Robert Work” และ “David Ochmanek”แห่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ก็ได้บทสรุปในลักษณะไม่ต่างไปจากกัน คือถ้าหากต้องสู้กับจีนและรัสเซียในเวลาเดียวกัน “เครื่องจักรสังหาร”ที่ได้ชื่อว่าแสนยานุภาพสูงสุดในโลกอย่างกองทัพสหรัฐฯ ไม่อาจรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย แม้แต่นักวิจัยด้านนโยบายแห่งบริษัทที่ปรึกษาทางทหาร “Rand Corporation” อย่าง “นายEdward Geist” ก็สรุปเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 ถ้าหากกองทัพสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับกองทัพรัสเซียในทะเลดำและกองทัพจีนในช่องแคบไต้หวันภายในเวลาเดียวกัน โอกาสที่กองทัพสหรัฐฯ จะ “พ่ายแพ้ศึกทั้งสองด้าน”มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ เพราะแม้แต่การเผชิญหน้ากับกองทัพรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออกแต่เพียงเท่านั้น ข้อสรุปของนักวิเคราะห์วิจัย อย่าง “นายStephen Philip Kramer” แห่งสถาบัน “Woodrow Wilson International Center for Scholars” ก็ยังสรุปเอาไว้ว่า ทั้งกองทัพอเมริกาและนาโต ไม่อาจปกป้อง คุ้มครอง บรรดาประเทศที่หันมาพึ่งพานาโต อย่างประเทศลัตเวีย เอสโตเนีย หรือลิทัวเนีย ฯลฯ ได้เลย...

ดังนั้น...สิ่งที่ “นายDavid T. Pyne”พยายามย้ำแล้ว ย้ำอีก กับรัฐบาลและกองทัพสหรัฐฯ ก็คือให้หาทางหลีกเลี่ยงการเผชิญศึก 2 ด้าน อันเป็นฉากสถานการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ โดยหนีไม่พ้นต้องอาศัยช่องทางการทูต การเจรจานั่นแหละเป็นหลัก หรือต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ต้อง “ลด-ละ-เลิก”ที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งกับ 2 ประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะนำไปสู่ “สงคราม Armageddon”ที่ถึงขั้นก่อให้เกิด “จุดจบของอเมริกา” หรือเกิดการสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินเอาง่ายๆ!!! การยกระดับความร่วมมือไปถึงขั้น “Back-to-Back”ไม่ใช่แค่ “Side-by-Side”ของพญามังกรและหมีขาวเช่นนี้ จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “จุดเริ่มต้น” ของการป่าวประกาศถึง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่กำลังเข้ามาแทนที่ “ระเบียบโลกแบบเก่า” หรือโลกที่เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของ “เผด็จการดอลลาร์” อย่างอเมริกา ชนิดที่ค่อนข้างแจ่มแจ้งและชัดเจนพอสมควร...




กำลังโหลดความคิดเห็น